คุยกับสองบุรุษผู้อยู่เบื้องหลังความฝัน
และความสำเร็จของ De Bethune

Date:

Pierre Jacques – Honorary President และ Jörg Hysek Jr. – Head of International Sales แห่ง De Bethune

หนึ่งในลิสต์แบรนด์นาฬิกาอิสระที่สาวกนาฬิกาตัวจริง
 ต่างหมายปองต้องมีชื่อ De Bethune อยู่ในนั้นอย่างไม่ต้อง
 สงสัย ด้วยชื่อชั้นของช่างนาฬิกาผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง Denis Flageollet ช่างนาฬิกาผู้อุทิศตนให้กับการประดิษฐ์นาฬิกาอันเป็นเลิศทั้งในเชิงกลไกและดีไซน์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจาก
ช่างนาฬิการะดับปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานระดับมาสเตอร์พีซแล้ว อีกหนึ่งบุคคลที่เป็นแรงผลักดันให้ De Bethune ได้ยืนหยัดอยู่ในวงการนาฬิกาชั้นสูงได้อย่างแข็งแรงย่อมต้องเป็น Pierre Jacques อดีต CEO ผู้เป็นหัวแรงหลักในการทำให้แบรนด์นาฬิกาชั้นเลิศแบรนด์เล็กๆ ในลูแบร์ซองเป็นที่รู้จักในหมู่นักสะสมทั่วโลก 

เรื่องราวของสุภาพบุรุษผู้นี้ก็นับว่าสร้างแรงบันดาลใจได้ไม่แพ้เรื่องราวของแบรนด์นาฬิกาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดูกาล
กว่าจะประสบความสำเร็จ Pierre Jacques เริ่มฉายแววชายหนุ่ม
ผู้อยากเป็น ‘หัวแถว’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งเขาและเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่าง Brice Lechevalier ก่อตั้งนิตยสารนาฬิกา GMT ร่วมกัน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นนิตยสารแถวหน้าที่แวดวงนาฬิกาให้ความยอมรับ 
ความรอบรู้เชิงลึกในเรื่องนาฬิกาของเขาส่งผลให้ได้นั่งแท่นเป็น
ไดเร็กเตอร์แห่ง Grand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) 
เวทีอันทรงเกียรติแห่งวงการนาฬิกา ซึ่งนำพาให้ Denis Flageollet 
ได้รู้จักและชักชวนให้เขามาร่วมเป็นผู้บริหาร De Bethune ซึ่งเขา
ได้พิสูจน์ตัวเองในบทบาท CEO โดยการพาแบรนด์ก้าวผ่านอุปสรรคครั้งใหญ่ได้สำเร็จ  

หลังจากพากเพียรขับเคลื่อนให้แบรนด์เติบโตและเดินทางไป
ในทิศทางที่ควรจะเป็น จวบจนถึงวันนี้ De Bethune เติบโตขึ้นจากวันแรกหลายเท่าตัว จากครอบครัวเล็กๆ เริ่มก่อตัวเป็นองค์กรขนาดย่อมที่บุคลากรทุกคนต่างเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนให้ทุกจังหวะก้าวเดินสอดประสานไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ทุกการขยับขยายย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับบทบาทของ Pierre Jacques ที่ผันตัวไปนั่งเก้าอี้ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ การก้าวขึ้นมาดูแลภาพรวมของแบรนด์ในครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในแบรนด์
De Bethune แต่เราเชื่อมั่นว่าถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น 
แต่สิ่งที่ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงย่อมเป็นดีเอ็นเอของ De Bethune ที่ฝังรากลึกอยู่ในกลไก วัสดุ และดีไซน์ที่หล่อหลอมตัวตนของแบรนด์ให้โดดเด่น เช่นเดียวกับ ‘ผู้คน’ ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ครอบครัว De Bethune มาด้วยกัน

เราเริ่มต้นบทสนทนากับ Pierre Jacques ภายใน L’Atelier by PMT The Hour Glass ที่เพิ่งเปิดพื้นที่ให้เหล่าคนรักแบรนด์นาฬิกาอิสระได้มาชื่นชมนาฬิกาแบรนด์โปรดอย่างเป็นส่วนตัว ด้วยการแสดงความยินดีกับบทบาทใหม่ที่เขาได้รับในฐานะ Honorary President 

 “บทบาทของผมคือการทำให้มั่นใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะเป็นไปอย่างราบรื่น และถอยหลังออกมาเพื่อมองให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น อาจจะไม่ได้ลงไปดูแลในส่วนการจัดการ หรือเดินทางมากเท่าก่อนหน้านี้ เป็นการถอยหลังออกมาแต่ยังคงดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดร่วมกับเดนิสเพื่อนของผม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าค่านิยมและดีเอ็นเอของแบรนด์จะยังคงอยู่ ทีมงานยังคงมีความเชื่อมั่นในแบรนด์และทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข เราเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณของครอบครัวอยู่แล้ว เราเป็นครอบครัวใหญ่ครับ”  

การสร้างความเปลี่ยนแปลงดูจะเป็นงานที่ Pierre Jacques ถนัด นับตั้งแต่การร่วมก่อตั้งนิตยสารนาฬิกา มาจนถึงการเผชิญหน้ากับความท้าทายเมื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง CEO ของ De Bethune ตัวผู้เขียนเองในฐานะสื่อนาฬิกาที่ต้องการให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจนาฬิกาในเชิงลึกยิ่งขึ้น เราจึงอยากให้เขาย้อนเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อตั้งนิตยสารนาฬิการ่วมกับหุ้นส่วน  

“ตอนที่เราก่อตั้งนิตยสารเมื่อปี 2002 เรามีความทะเยอทะยานที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการสื่อนาฬิกา ณ ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีนิตยสารไฮเอนด์เกี่ยวกับนาฬิกา เราจึงเป็นหัวแรกเลยก็ว่าได้ 
เราเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอ คุณภาพของนิตยสาร การวางจำหน่าย และกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ในการทำนิตยสารนาฬิกา” เขาย้อนเล่าถึงความหลังเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว มาจนถึงวันนี้ที่แพลตฟอร์ม
สื่อออนไลน์พลิกมามีบทบาทสำคัญ ตัวเขาเองก็ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงนั้น และคิดว่า De Bethune จะกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านการสื่อสารที่รวดเร็วฉับพลัน   

“ในยุคที่สื่อโซเชียลมีเดียแข็งแกร่งมาก มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับแบรนด์ขนาดเล็กที่จะได้รับการมองเห็นมากขึ้น อย่างเวลาออก Novelties ใหม่ๆ ในแต่ละครั้ง แค่สื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดียคนก็ได้เห็นเป็นหลักแสนแล้ว” 

ผลงานที่บ่งบอกตัวตน

ด้วยรูปลักษณ์อันแสนสะดุดตาของนาฬิกาหลากหลายรุ่น
ของ De Bethune ย่อมทำให้กลุ่มคนที่หลงใหลในนาฬิกาสนใจ
ในตัวตนของเครื่องบอกเวลาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นนี้อย่าง
ไม่ต้องสงสัย และเรื่องน่าตื่นเต้นก็คือดูเหมือนว่าปี 2025 นี้ทาง
แบรนด์จะส่งนาฬิกาหลากรุ่นที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น รุ่น DB25 Monopusher Chronograph นาฬิกาโครโนกราฟที่มาในสไตล์คลาสสิก และขนาดตัวเรือน 40 มม. ที่จัดว่าเล็กกว่าขนาดตัวเรือนส่วนใหญ่ของ De Bethune หรืออย่าง DB28 GS Swordfish นั้นก็น่า
ตื่นตาด้วยความเป็นนาฬิกาดำน้ำในรูปลักษณ์ที่คงดีเอ็นเอของแบรนด์ไว้ได้ครบถ้วน แถมยังพ่วงฟังก์ชันที่น่าตื่นเต้นอย่างระบบไฟส่องสว่างที่จ่ายพลังงานด้วยไดนาโมติดตั้งไว้ภายในตัวเรือนอีกด้วย

ส่วน DB Kind of Two GMT Season 3 นั้นก็อัดแน่นด้วยเทคนิคเฉพาะ กลไกสิทธิบัตร และฟังก์ชันที่บ่งบอกความเป็น De Bethune อยู่หลายประการ ทั้งยังเป็นผลงานความร่วมมือระหว่าง Swizz Beatz ที่ดำเนินต่อเนื่องมา 3 รุ่นด้วยกัน ท่ามกลางสิ่งประดิษฐ์รุ่นใหม่จากมันสมองอัจฉริยะของ Flageollet รุ่นไหนบ่งบอกถึงยุคสมัยใหม่ของแบรนด์ได้บ้าง สำหรับ Jacques แล้ว นาฬิการุ่น Novelties ของปีนี้อาจจะไม่ถึงกับเป็นการพลิกโฉมใหม่ทั้งหมด แต่การปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ที่แฟน
ตัวจริงของแบรนด์ย่อมสังเกตเห็นได้ช่วยเติมความสดใหม่ให้กับเหล่า Novelties ในปีนี้ 

DB Kind of Two  GMT Season 3

“ผมไม่คิดว่า จะมีรุ่นไหนที่เป็นตัวแทน De Bethune ยุคใหม่เสียทีเดียว แต่ถ้าจะให้เลือกรุ่นที่โดดเด่นคงจะเป็น DB Kind of Two  GMT Season 3 มันเป็นนาฬิกา GMT ที่มาพร้อม jumping seconds เป็นรุ่นความร่วมมือระหว่าง Swizz Beatz ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นยุคใหม่ของ De Bethune ได้เหมือนกัน เพราะเป็นผลงานความร่วมมือที่เรามุ่งมั่นทำร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 ปีมาแล้ว”

ไม่มีนาฬิการุ่นไหนจะบ่งบอกตัวตนของ De Bethune ได้อย่างครบครันเท่าคอลเลกชัน DB Kind of Two อีกแล้ว โดยเฉพาะในรุ่น Season 3 ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด กลับมาในมาดเข้มขรึมด้วยตัวเรือนไทเทเนียมเกรด 5 และแบล็กเซอร์โคเนียม เพิ่มฟังก์ชัน GMT ที่ดูเวลาได้สองไทม์โซนเข้าไป และเข็มวินาทีแบบกระโดดก็ถือเป็นสิ่งใหม่ในเวอร์ชันนี้เช่นกัน อีกหนึ่งสิ่งที่ยังคงไว้ในเวอร์ชันนี้คือ floating lugs 
ขานาฬิกาแบบลอยตัวซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสิทธิบัตรเฉพาะของแบรนด์ ซึ่งช่วยให้นาฬิกาที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 43.3 มม. และมีความหนา 11.4 มม. โอบรับกับข้อมือได้อย่างกระชับพอดี

“อีกรุ่นหนึ่งเป็นรุ่น DB25 Monopusher Chronograph ซึ่งผมมองว่ามันสามารถนำเสนอมุมคลาสสิกของ De Bethune ได้ดี และอาจ
มองว่าเป็นยุคใหม่ของ De Bethune ได้ในแง่ที่ว่า โดยปกติแล้วเราผลิตนาฬิกาไซส์ใหญ่ แต่ในรุ่นนี้เราผลิตในไซส์ที่เล็กลง ซึ่งผมคงไม่อาจบอกได้ว่า มันคือยุคใหม่ของเรา แต่เราพยายามที่จะผลิตนาฬิกาที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เช่นเดียวกับ DB28 GS Swordfish นาฬิกาดำน้ำที่เราเสริมเข้าไปเพื่อมอบความหลากหลายให้กับคอลเลกชันของเรา”

DB25 Monopusher Chronograph โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน
โครโนกราฟที่ควบคุมด้วยปุ่มกดเพียงปุ่มเดียวที่ติดตั้งมาพร้อม
เม็ดมะยม บรรจุอยู่ในตัวเรือนขนาด 40 มม. ที่ลดขนาดลงจาก DB25 รุ่นก่อนหน้า ทำให้เหมาะสำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวันยิ่งขึ้น 
ส่วนดีไซน์นั้นเรียบหรูในสไตล์คลาสสิกซึ่งดูผิดไปจากรูปลักษณ์ของนาฬิกาโครโนกราฟที่เราคุ้นเคยกัน แต่ก็ยังคงรักษาซิกเนเจอร์ของแบรนด์อย่างเด่นชัดด้วยเข็มนาฬิกาไทเทเนียมสีน้ำเงินรับกับตัวเลข
อารบิกแทนหลักชั่วโมง รวมถึงเข็มโครโนกราฟที่ยังคงซิกเนเจอร์ 
De Bethune’s Blue อย่างไม่แตกแถว ความเรียบง่ายแต่ชัดเจนในตัวตนของเข็มนาฬิกาไทเทเนียมสีน้ำเงินถูกขับเน้นให้เด่นชัดด้วยพื้นผิวหน้าปัดสีเงินตกแต่งด้วยด้วยเทคนิค guilloché เป็นลวดลายเมล็ดข้าวบาร์เลย์บริเวณหน้าปัดโครโนกราฟ ตัดกับลวดลาย guilloché แผ่รังสี 12 แฉกบนแผ่นหน้าปัดหลัก 

ไม่ได้ทำให้มากขึ้น แต่ทำให้ดียิ่งขึ้น

เราตั้งข้อสังเกตว่าปีนี้ De Bethune ออกสตาร์ทแรงตั้งแต่ Watches & Wonders เป็นต้นมา ซึ่ง Jacques ก็ยอมรับและให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า  

“ปีนี้เป็นปีที่ productive ของเรา เดนิสเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงอยู่แล้ว พอเขาได้ไอเดียและอยากทำให้มันเกิดขึ้นจริงตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อ 23 ปีก่อน มาจนถึงตอนนี้เราออกมามากกว่า 32 คาลิเบอร์แล้ว เราเป็นโรงงานผลิตของแบรนด์นาฬิกาอิสระที่สร้างสรรค์กลไก
คาลิเบอร์จำนวนมากภายในระยะเวลาที่
ไม่นานนักสำหรับวงการนาฬิกา ซึ่งเหตุผลของการมีอยู่ของ De Bethune คือการสร้างสรรค์อยู่แล้วเป็นทุนเดิม” 

ต้องยอมรับว่า ภายในสองทศวรรษแบรนด์นาฬิกาอิสระขนาดเล็กสามารถผลิตนวัตกรรมที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์หลายชิ้นงานด้วยกัน แต่ละผลงานสร้างสรรค์ของ De Bethune ล้วนยึดตามแนวคิดของแบรนด์ที่มีอยู่ว่า ‘Not doing more, but instead doing better’ หัวใจของการผลิตนาฬิกาของแบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ จึงเป็นการท้าทายตัวเองในการทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ ครั้ง 

“มันคือการไม่ติดอยู่กับความสะดวกสบาย ความง่ายดาย แต่ยังคงท้าทายตัวเองในเชิงนวัตกรรมอยู่เสมอ ซึ่งตรงกับสโลแกนหนึ่งของ De Bethune ที่มีอยู่ว่า ‘Watchmaking art in 21st century’ เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนทุกคนเสมอว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นงานศิลปะแห่งศตวรรษที่ 21 เราต้องพัฒนาตัวเองทั้งในเชิงนวัตกรรมให้รุดหน้า และย้ำเตือน
ตัวเองว่า De Bethune ไม่ใช่สินค้าในเชิงพาณิชย์ นี่เป็นปรัชญาที่เดนิสและแบรนด์ยึดมั่นมาโดยตลอด แนวคิดของ De Bethune คือการยังคงรักษาสถานะความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์อยู่

“เราให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าจำนวนการผลิต และยังเชื่อในแนวคิด ‘Less is More’ อยู่” 

Pierre Jacques – Honorary President of De Bethune

ความร่วมมือกับผู้ที่หลงใหลในสิ่งเดียวกัน

การทำงานในเชิง collaboration ระหว่างแบรนด์ ศิลปิน และ
คนดังในแวดวงอื่นเริ่มปรากฏให้เห็นในระยะหลังๆ เหมือนเป็นการ
ส่งสัญญาณว่า De Bethune พร้อมจะก้าวออกจากกรอบจำกัดเดิมๆ แต่อันที่จริงแล้วความร่วมมือดังกล่าวไม่ได้เป็นไปในเชิงกลยุทธ์ทางการตลาด และทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของคนที่มีแพสชันตรงกัน

Mystery Box: Forget Time

“ผลงานความร่วมมือต่างๆ เป็นไปอย่าง ‘ออร์แกนิก’ ครับ เวลาเราจะร่วมงานกับใคร มันไม่ใช่เหตุผลในเชิงกลยุทธ์ทางการตลาดหรืออะไรทำนองนั้น มันมักจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ อย่าง Fiona Krüger ที่ร่วมสร้างสรรค์ Mystery Box: Forget Time เธอเป็นเพื่อนกับเดนิส และเดนิสก็มีแพสชันในงานสร้างสรรค์อย่างแรงกล้า 
เขาอยากผลิตนาฬิกาตั้งโต๊ะ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เราเคยผลิตชิ้นงานลักษณะนี้ ซึ่งการร่วมมือกับศิลปินอื่นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ 
เพราะในบางครั้งการทำแต่สิ่งเดิมๆ ก็เป็นเรื่องน่าเบื่อได้เหมือนกัน”

ผลลัพธ์ของความร่วมมือที่เป็นไปโดยธรรมชาติ เหมือนกับการเจอคนที่คิดและชอบอะไรคล้ายๆ กัน แล้วจึงหาโปรเจ็กต์สนุกๆ ทำร่วมกัน คือสิ่งที่ผลักดันให้ De Bethune ได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมกับตัวแบรนด์ที่ถึงแม้รูปลักษณ์จะดูโดดเด่นแต่ก็เหมือนจะมีความ introvert แบบที่มีความสงวนท่าที
อยู่ในตัว ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็เข้าถึงได้ง่าย แต่ถ้าได้สัมผัสแล้วก็จะกลายเป็น
เพื่อนสนิทที่รู้ใจกันดี เช่นเดียวกับการเลือกตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคต่างๆ ที่ทางแบรนด์ไม่เคยทิ้งแนวคิดเดิมในการคัดสรรรีเทลเลอร์ที่เข้าใจกันและกันดี ตามที่ 
Jörg Hysek Jr. – Head of International Sales ผู้ดูแลฝ่ายการขายได้กล่าวถึงการร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน L’Atelier by PMT The Hour Glass ไว้ว่า

Jörg Hysek Jr. – Head of International Sales of De Bethune

“เราต้องมั่นใจว่า รีเทลเลอร์นั้น
มีค่านิยมและแพสชันที่ตรงกับตัวตนของ
De Bethune และสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ The Hour Glass และ PMT The Hour Glass ก็เริ่มต้นไปพร้อมๆ กับเราตั้งแต่แรก พวกเขาเชื่อในตัวแบรนด์ และผมเชื่อว่าปิแอร์ก็ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริหารของ The Hour Glass Group เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน”

กว่า 24 ปีที่ผ่านมา De Bethune ไม่ใช่แบรนด์ที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด หลักๆ ตลาดของเราอยู่ในยุโรป แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน
ที่แบรนด์ต้องเป็นที่รู้จักและได้รับการมองเห็นมากขึ้น แต่คงไม่ถึงกับไปสู่ตลาดที่กว้างจนเกินไป เพราะเราเป็นแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาเพียง 350 เรือนต่อปีเท่านั้น เราจึงเป็นเหมือนหยดน้ำเล็กๆ ในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ดังนั้น การที่พยายามขยายตลาดมากจนเกินไปอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เราจึงพยายายามปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติมากกว่า” 

การได้เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาอิสระที่ได้ถูกนำเสนอใน L’Atelier by  PMT The Hour Glass จึงไม่เพียงแต่เป็นบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นการยอมรับจากแวดวงนาฬิกาในอีกซีกโลก แต่ยังพิสูจน์ได้ว่าแวดวงนาฬิกาในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสนใจศาสตร์แห่งเครื่องบอกเวลาในระดับที่ลุ่มลึก มากกว่ามูลค่า เรื่องราว และงานฝีมือ เบื้องหลังแบรนด์คือสิ่งที่บรรดาคนรักนาฬิกาใส่ใจไม่แพ้คุณค่าในเชิงการเป็นรุ่นหายากที่ต้องมีในครอบครอง ตัวแทนแห่ง De Bethune ทั้งสองเห็นด้วยกับเราในข้อนี้ พวกเขาเชื่อมั่นและเล็งเห็นศักยภาพของตลาดนาฬิกาในประเทศไทยที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ 

ก่อนจบบทสนทนาเราใช้เวลาชื่นชมนาฬิกา Novelties ร่วมกับทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง สำหรับคนที่ติดตามความพิเศษของ De Bethune มาโดยตลอดและได้ชื่นชมเรือนจริงหลากรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่ๆ ที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ไปจนถึงการรวมอัตลักษณ์ของแบรนด์ไว้บนนาฬิกาแบบตัวเรือนพลิกกลับสองด้านใน DB Kind of Two Grand Complication อาทิ ทูร์บิญองชนิดบางเป็นพิเศษ ฟังก์ชันมูนเฟสทรงกลมสามมิติ (Spherical Moonphase) หน้าปัดบลูไทเทเนียมตกแต่งด้วยเทคนิค Star-studded เป็นลวดลายทางช้างเผือก กลไกสิทธิบัตรเฉพาะอย่าง Self-regulating twin barrel บาลานซ์วีลทำจากไทเทเนียมแทรกด้วยไวท์โกลด์ และบาลานซ์สปริงปลายโค้งแบน 

อันที่จริงแล้วการบรรยายด้วยตัวอักษรนั้นคงไม่อาจเทียบเคียงประสบการณ์ที่ได้สัมผัสเรือนจริงบนข้อมือเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะโอกาสที่จะได้ชมเรือนจริง และได้สนทนากับสองผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์นาฬิกาที่มุ่งสร้างสรรค์ผลงานที่ได้ชื่อว่าเป็นนาฬิกาในฝันของนักสะสม นี่จึงเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่เราจะจารึกไว้ในความทรงจำ และเก็บเอาไปฝันถึงท้องฟ้าสีบลูไทเทเนียมบนข้อมือไปอีกหลายคืน 

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่:

ทำความรู้จัก Lederer แบรนด์นาฬิกาอิสระโดย Bernhard Lederer ปรมาจารย์ด้าน escapement

CHANEL ฉลองครบรอบ 25 ปี ด้วยนาฬิกา J12 รุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน

Exclusive Interview: H. Moser & Cie. กับ Mr. Bertrand Meylan

Share post:

More like this

Louis Vuitton Tambour Convergence สไตล์วินเทจมินิมัลที่ดูร่วมสมัย พร้อมลีลาการบอกเวลาที่แตกต่าง

เมื่อ Louis Vuitton เล็งเห็นเสน่ห์ในเรือนเวลา Jump Hour และผสานเข้ากับตัวตนของเมซงได้อย่างลงตัว กลายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่นาฬิกา jump hour...

นาฬิกาหรูจะไปทางไหน? สรุปประเด็นร้อน เจาะลึกทุกมุมมองจาก FHH Watch Summit ครั้งแรกที่ New York

สรุปประเด็นร้อนจากการประชุม FHH Watch Summit ครั้งประวัติศาสตร์ที่ New York ผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 คนถกกันถึงอนาคตนาฬิกาหรู เมื่อคนรุ่นใหม่ (Millennial & Gen Z) ให้ความสำคัญกับ 'งานฝีมือ' เหนือชื่อแบรนด์ และทำให้ 'ตลาดมือสอง' กลายเป็นทางเข้าหลักของวงการ

รวมนาฬิกา tourbillon จากหลากแบรนด์ในปี 2025

สุดยอดกลไกที่เชื่อถือได้ในความเที่ยงตรงจากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำที่น่าจับตามองในปีนี้ ความเที่ยงตรงของนาฬิกาข้อมือที่เราใช้ในยุคปัจจุบันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลของแรงโน้มถ่วงเหมือนนาฬิกาพกในสมัยอดีต แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหลงใหลที่มีต่อคอมพลิเคชันที่เรียกว่า tourbillon ลดน้อยลงเลย ดูจากตัวอย่างผลงานที่แบรนด์ต่างๆ นำเสนอในปีนี้ นั่นเป็นเพราะทูร์บิญองได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นนาฬิกาชั้นสูง แถมยังเป็นเหมือนแคนวาสให้แบรนด์นาฬิกาชั้นนำต่างๆ ได้ประลองความคิดสร้างสรรค์ด้วย  ‘ทูร์บิญอง’...

Past/Present/Future บทสนทนาว่าด้วยอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ URWERK

บทสนทนาระหว่าง Revolution Thailand กับ Martin Frei ผู้ร่วมก่อตั้ง URWERK ทุกครั้งที่ได้เห็นเรือนเวลาหน้าตาราวกับยานอวกาศ ที่สามารถพาเราท่องไปทั้งในโลกแห่งอดีตและอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์...