Richard Mille RM 43-01 Tourbillon Split-Seconds Chronograph Ferrari เมื่อความชำนาญเชิงกลไกของ Richard Mille โคจรมาพบกับตำนานแห่งดีไซน์ของ Ferrari 

Date:

เรือนเวลาแทนความร่วมมือครั้งล่าสุด Richard Mille RM 43‑01 Tourbillon Split-Seconds Chronograph Ferrari

WORDS : Celine Yap
แปลและเรียบเรียงโดย: Pisuthinee Buasup

Richard Mille RM 43‑01

Richard Mille และ Ferrari เผยโฉมเรือนเวลาแทนความร่วมมือครั้งล่าสุด Richard Mille RM 43‑01 Tourbillon Split-Seconds Chronograph Ferrari ณ งานแถลงข่าวสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้นใน Palais de Tokyo กรุงปารีส ทางแบรนด์ได้มุ่งเน้นดีเอ็นเอ Formula 1 และสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างวงการยานยนต์  โดยปกติแล้วงานเปิดตัวครั้งสำคัญเช่นนี้ เจเนอเรชันที่สองของ Richard Mille แบรนด์ไดเรกเตอร์ และบุคลากรหลักของ Ferrari จะมาร่วมงานเพื่อแสดงมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และกระบวนการพัฒนาเบื้องหลังนาฬิการุ่นนั้น ๆ  ในงานนี้ผู้เป็นตัวแทนมาร่วมงานกลับเป็น Felipe Massa แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกแห่งครอบครัว Richard Mille อันยิ่งใหญ่ ความร่วมมือระหว่าง Ferrari เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องไปยังอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างต่ำ ด้วยผลงานความร่วมมือระดับความแรงสูงอีกหลายรุ่นต่อแถวเข้าคิวอยู่ในไลน์การผลิต

ระยะเวลา 5 ปีนั้นไม่ใช่เวลานานนักสำหรับอุตสาหกรรมนาฬิกา แต่ภายในช่วงเวลาอันแสนสั้นนี้ ความร่วมมือระหว่าง Richard Mille และผู้ผลิตซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาเลียนอย่าง Ferrari นั้นรุดหน้าไปไกลเหนือจินตนาการ  ภายในระยะเวลา 2 ปี หลังจากที่ลงหมึกเซ็นต์สัญญาในปี 2020 ทั้งสองบริษัทก็พร้อมที่จะเผยผลผลิตรุ่นแรกจากความร่วมมือของทั้งคู่ 

  นั่นคือในปี 2020 ที่เปิดตัว RM UP-01 Ferrari นาฬิกาเรือนบางเฉียบเหลือเชื่อที่มีตัวเรือนหนาเพียงแค่ 1.75 มม. RM UP-01 Ferrari นั้นไม่ใช่นาฬิกาธรรมดาๆ มันเปิดตัวอย่างลือลั่นด้วยการเลื่อนชั้นเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่นาฬิกาเรือนบางเฉียบแห่งอุตสาหกรรมนาฬิกา ราวกับยอดมนุษย์ Kool-Aid ที่ระเบิดกำแพงอิฐ ส่งสารเสียงดังและแจ่มแจ้ง การร่วมมือกับ Ferrari ในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหนๆ ที่เคยทำมาก่อน Richard Mille มาพร้อมดีเอ็นเอฝังรากลึกในการแข่งรถ Formula 1 และ Ferrari แบรนด์ยนตรกรรมที่สร้างตำนานของตัวเองได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่มีแบรนด์ไหนจะเหมาะสมซึ่งกันและกันยิ่งกว่านี้อีกแล้ว

 ดังนั้น หลังจากเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไปแล้ว การเดินทางดำเนินต่อไปในปีนี้ด้วยเรือนเวลาผลงานความร่วมมือรุ่นถัดไป Richard Mille RM 43-01 Tourbillon Split-Seconds Chronograph Ferrari 

นาฬิกาโครโนกราฟเพื่อนักประลองความแรง

แวบแรกที่เหลือบมอง  RM 43-01 Tourbillon Split-Seconds Chronograph Ferrari ก็แลดูเหมือนนาฬิการุ่นอื่นๆ ของ Richard Mille อันที่จริงแล้ว เราไม่อยากโกหกว่า ความจริงเราคาดหวังว่า ผลงานความร่วมมือชิ้นที่สองระหว่าง Richard Mille x Ferrari จะนำเสนอนาฬิการุ่นช็อคโลก หรือมาในแนอวองการ์ดสุดขั้วอีกสักรุ่น กลับกลายเป็นว่า RM 43-01 หน้าตาเรียบร้อยกว่า RM UP-01 เป็นไหน ๆ เหนือสิ่งอื่นใดนี่คือ Richard Mille สำหรับ Ferrari นั่นหมายความว่า คุณต้องส่องเข้าไปดูข้างใต้ถึงจะเห็นแก่นแท้ของมัน ต้องขอบคุณที่นาฬิการุ่นนี้ไม่ได้ซ่อนความลับอะไรไว้ ไม่ว่าจะเป็น ด้านหน้าหรือด้านหลัง ทุกชิ้นส่วนของคาลิเบอร์ 43-01 สามารถมองเห็นได้ถนัดตา เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่า นาฬิการุ่นนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง   Richard Mille และ Ferrari ซึ่งคุณต้องดำดิ่งลงไปสำรวจในรายละเอียด 

ในฐานะนาฬิกาทูร์บิญองแบบระบบจับเวลาแยกสองรายการ สำหรับช่างนาฬิกาแล้ว Richard Mille RM 43-01 Ferrari ไม่ใช่นาฬิการุ่นแรกในเผ่าพันธุ์นี้ ต้องให้เกียรติ RM 008 ที่เปิดตัวในปี 2003 ส่วนนาฬิกาทูร์บิญองแบบระบบจับเวลาแยกสองรายการรุ่นอื่นๆ ของ Richard Mille นั้นประกอบไปด้วย RM 050 Felipe Massa, RM 50‑02 ACJ (Airbus Corporate Jets), RM 50-03 McLaren F1 และ RM 50-04 Kimi Raikkonen 

กลไกที่ผ่านการพัฒนาให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

ในบรรดานาฬิการุ่นล่าสุดของ Richard Mille นาฬิการุ่นนี้เป็นเจ้าภาพในการริเริ่มใช้เทคนิคที่ผ่านการพัฒนาขึ้นใหม่ RM 43-01 มาพร้อมกลไกขับเคลื่องฟังก์ชัน split-second เจเนอเรชันรุ่นล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Richard Mille and Audemars Piguet Le Locle (APLL). 

คอลัมน์วีลแบบหกคอลัมน์สองตัวทำงานควบคู่กับเลเวอร์ที่แตกต่างกันของฟังก์ชัน split-seconds ซึ่งช่วยปรับการทำงานของโครโนกราฟให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนไหวสอดคล้องกันอย่างแม่นยำ การล็อกฟังก์ชันอย่างเต็มที่ และเสริมความคงทนในการปรับตั้ง การศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานของตัวยึด (clamp) ยังนำไปสู่การออกแบบตัวยึดเพื่อกลไกรุ่นนี้โดยเฉพาะ

สปริงเกลียวแบบดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยใบพัดบนกงล้อ split‑seconds นี่เป็นการตัดสินใจด้านเทคนิคที่ช่วยลดความผันผวนของแรงบิดเมื่อฟังก์ชัน split‑seconds ถูกเรียกใช้งาน การพัฒนาเหล่านี้ช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการจับเวลาให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และยังลดปริมาณพลังงานที่ฟังก์ชันโครโนกราฟต้องใช้ลงถึงครึ่งหนึ่งโดยการลดแรงเสียดทานจากแกนหมุน 

จากนั้นมาถึงเบสเพลตฐานล่างทำจากไทเทเนียมเกรด 5 แบบสเกเลตัน และสะพานจักรทำจากไทเทเนียมเกรด 5 หรือคาร์บอน TPT ชุดสะพานจักรถูกเจาะโครงให้โปร่งที่สุด เพื่อลดน้ำหนักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 การแก้ปัญหาทางเทคนิคนี้ทำให้คาลิเบอร์อันซับซ้อนทำให้ได้มาซึ่งน้ำหนักที่ช่วยเสริมความทนทานอย่างสูงสุด โดยผ่านการทดสอบในโรงงานของ Richard Mille ภายใต้แรงสั่นสะเทือนสูงถึง 5,000 จี นับเป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งสำหรับนาฬิกาที่ผสานเอสเคปเมนต์ของทูร์บิญองเข้ากับกลไกโครโนกราฟ split-seconds อันซับซ้อน 

เมื่อรวมกันแล้วชิ้นส่วนใหม่ๆ เหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ขณะเดียวกันก็มอบระดับแรงบิดที่เสถียรขึ้นผ่านกระบวนการสำรองพลังงานด้วยเช่นกัน

“งานของเราในฐานะผู้ผลิตกลไกกลายเป็นงานเชิงวิทยาศาสตร์ยิ่งขึ้นทุกวัน ซึ่งช่วยในการสร้างสรรค์ชิ้นส่วนที่ทนทานยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังมอบการทำงานที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า”

Salvador Arbona ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคแห่งแผนกกลไก อธิบายไว้เช่นนั้น 

ออกแบบด้วยความประณีต

Centro Stile ศูนย์ออกแบบของ Ferrari มีบทบาทสำคัญในการออกแบบองค์ประกอบหลักของนาฬิกา นับตั้งแต่ภาพรวมในเชิงสุนทรียะไปจนถึงรายละเอียดอย่างเช่น เม็ดมะยม เข็มนาฬิกาและสาย ซึ่งตกแต่งด้วยลวดลายเบาะที่หนังของซูเปอร์คาร์รุ่น Purosangue ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงอิทธิพลจากสไตล์อันเฉพาะตัวของ Ferrari หัวหน้าแผนกสิทธิบัตรและความร่วมมือ Francesca Vernia กล่าวว่า “นาฬิการุ่นใหม่นี้มีความเป็น Ferrari สูงกว่ารุ่นก่อนมาก” ขีดเส้นใต้ไว้เลยว่า RM 43-01 มีลักษณะที่อ้างอิงได้จากซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาเลียนอยู่หลายประการ ทำให้นาฬิการุ่นนี้เป็นดั่งตัวแทนถ่ายทอดคุณลักษณะของผู้ผลิตสุดยอดยานยนต์ได้อย่างล้ำเลิศ          

เพื่อเป็นการน้อมนำหลักอากาศพลศาสตร์อันล้ำสมัยมาใช้ Richard Mille RM 43-01 Ferrari จึงมาในตัวเรือนที่มีให้เลือก 2 วัสดุ โมเดลแรกมาในตัวเรือนไทเทเนียมเกรด 5 พร้อมขอบคาร์บอน TPT อีกโมเดลมาในตัวเรือนคาร์บอน TPT ล้วน วัสดุที่มีน้ำหนักเบาและยังเป็นวัสดุคอมโพสิตที่บางเบาแต่ทนทาน ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับสไตล์อันเชื่อถือได้ของ Richard Mille 

“เราทำการค้นคว้าด้านเทคนิค ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาเรือนเวลาที่มีความยืดหยุ่นสูงสุด มันเป็นสิ่งที่ลูกค้าของเราคาดหวัง และเป็นสิ่งที่เราชื่นชอบ จากนั้นก็มาสู่การค้นคว้าด้านการออกแบบ การปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและการทำให้แน่ใจว่า เรามีจุดที่บ่งบอกตัวตนได้อย่างฉับพลัน นั่นเป็นสาเหตุให้เราหันไปใช้วัสดุคาร์บอน TPT และไทเทเนียมเกรด 5  เพราะมันบ่งบอกได้ทันทีว่า นี่คือดีเอ็นเอของ Richard Mille”  

Alexandre Mille ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาของ Richard Mille กล่าว

เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความสอดคล้องกันในเชิงสุนทรียะระหว่าง Richard Mille และ Ferrari ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ทีมออกแบบได้ทำการขับเน้นเอฟเฟ็กต์สามมิติของกลไก พวกเขาใช้พื้นผิวหลากชนิดและ รายละเอียดที่ขัดแย้งกันในหลายรูปแบบ ประกอบไปด้วย การเคลือบ 5N  PVD บนผิวตัวยึดกลไกโครโนกราฟ  split-seconds และมากไปกว่านั้นสกรูบางตัวในโมเดลไทเทเนียมยังใช้เทคนิคนี้ด้วยเช่นกัน      

“เรามีตัวเรือน 2 วัสดุที่แสดงออกถึง 2 บุคลิกที่แตกต่างกัน; ‘สุภาพบุรุษนักแข่ง’ คือ เป็นคุณลักษณะของตัวเรือนไทเทเนียม และแอตติจูดที่แรงขึ้นอยู่ในตัวเรือนคาร์บอน” 

Julien Boillat ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคแห่งแผนกตัวเรือนของ Richard Mille กล่าว

ในขณะที่ตัวเลือกในเชิงสุนทรียะมาจากรูปทรงเรขาคณิตอันซับซ้อนของบล็อกเครื่องยนตร์และข้อเหวี่ยงของ Ferrari ในส่วนโครงสร้างยังมีข้อแตกต่างเล็กน้อยระหว่างทั้งสองโมเดล ซึ่งเกิดจากคุณสมบัติของวัสดุที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เปรียบเทียบเมนเพลตของนาฬิกา โดยเฉพาะบริเวณใต้หน้าปัดย่อยแสดงค่า 30 นาที: ในรุ่นคาร์บอน TPT จะมีสกรูเพิ่มอีกหนึ่งตัว เนื่องจากวัสดุดังกล่าวมีน้ำหนักเบากว่าไทเทเนียม 

แรงบันดาลใจจาก Ferrari

กลไกนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นจากกลไกทูร์บิญองพร้อมระบบจับเวลาแยกสองรายการแบบขึ้นลานด้วยมือ ที่อยู่ในแคตตาล็อกของ Richard Mille มาตั้งแต่โมเดล RM 008 แต่การปรับแต่งในสไตล์ Ferrari ได้ดึงเอากลิ่นอายแบบเครื่องยนต์ Formula 1 เข้ามา ผิวเมทัลลิกบนเบสเพลตสะท้อนความเที่ยงตรงในแบบอุตสาหกรรมของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่หล่อด้วยทราย ขณะที่สะพานจักรที่ผ่านการขัดไมโครบลาสต์ให้ผิวสัมผัสแบบแมตต์ที่ดูแข็งแกร่งทำให้นึกถึงฝาครอบเครื่องยนต์ของ Ferrari

โครงสร้างชิ้นส่วนมีเหลี่ยมมุมตกแต่งด้วยริ้วนูนเล็ก ๆ โทนสีที่ตัดกัน และชิ้นส่วนรองรับรูปตัว X ขนาดเล็ก แทรกอยู่ร่วมกับสกรูหัวหกเหลี่ยมสีทอง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงลวดลาย ชิ้นส่วน และรายละเอียดที่ฉีดขึ้นรูปแบบเดียวกับที่พบในบล็อกเครื่องยนต์และฝาสูบของ Ferrari

เพลตฐานทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน จัดวางทูร์บิญองไว้ที่ตำแหน่ง 5 นาฬิกา ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่ว่าง ภายในตัวเรือนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะช่องเปิดขนาดใหญ่ที่ตำแหน่ง 7 นาฬิกา ที่ตั้งใจเว้นไว้เพื่อฝังแผ่นไทเทเนียมสลักด้วยเลเซอร์ลายโลโก้ม้าพยศ ส่วนประกอบนี้ผ่านการขัดผิวไมโครบลาสต์และขัดซาติน พร้อมขอบขัดเงา โดยได้แรงบันดาลใจมาจากปีกหลังของ Ferrari 499P 

“’ความร่วมมือเช่นนี้ ไม่ได้อาศัยเพียงแค่ความคล้ายคลึงในรูปลักษณ์ระหว่างเครื่องยนต์ Ferrari หรือชิ้นส่วนต่าง ๆ กับองค์ประกอบที่นำมาใช้ในนาฬิกาเท่านั้น แต่ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานร่วมกันในเชิงคุณค่า” Flavio Manzoni  ผู้บริหารฝ่ายออกแบบของ Ferrari กล่าวต่อว่า “ในแง่ของประสิทธิภาพ ทุกอย่างที่ออกแบบขึ้นด้วยจุดประสงค์ในเชิงเทคนิคสามารถออกแบบให้สวยงามได้ แนวคิดเรื่องความงามที่ใช้งานได้จริงคือสิ่งที่เราหลงรักอย่างแท้จริง”

คำกล่าวของ Manzoni สะท้อนปรัชญาการผลิตนาฬิกาของ Richard Mille ได้อย่างสมบูรณ์แบบ: สิ่งใดที่มีจุดประสงค์เชิงเทคนิค ก็สามารถเป็นสิ่งที่ดูงดงามได้ เพราะเทคนิคเป็นตัวกำหนดการออกแบบ อย่างที่ Mille บอกไว้หลังจากผ่านการไตร่ตรองอย่างดี และคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่สูบฉีดทั่วร่างเมื่อได้สวมใส่นาฬิกาอย่าง Richard Mille RM 43‑01 Tourbillon Split‑Seconds Chronograph Ferrari บนข้อมือ

ข้อมูลทางเทคนิค

  • กลไก: ไขลานด้วยมือ รหัส Caliber 43‑01 สำรองพลังงาน 70 ชั่วโมง (เมื่อไม่ใช้งานโครโนกราฟ)
  • ฟังก์ชัน:  บอกชั่วโมงและนาที ทูร์บิญอง โครโนกราฟ Split‑Seconds การแสดงพลังลาน ตัวชี้วัดแรงบิด และตัวชี้วัดการใช้งาน 
  • ตัวเรือน: ขนาด: 42.9 × 51.2 × 17.1 มม. วัสดุคาร์บอน TPT หรือไทเทเนียมเกรด 5 ขอบตัวเรือนและปุ่มกดทำจากคาร์บอน TPT กันน้ำได้ถึงระดับ 50 เมตร
  • สาย: สายยางสีดำ
  • ราคา: รุ่นคาร์บอน TPT:  1,535,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 50,333,000 บาท) 
  •          รุ่นไทเทเนียมเกรด 5 ตกแต่งคาร์บอน TPT: 1,300,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 46,200,000 บาท) 
  • จำนวน:  ผลิตในจำนวนจำกัด 75 เรือนต่อรุ่น 

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่:

Panerai ร่วมมือกับ Luna Rossa เผยสองนาฬิการุ่นใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจาก America’s Cup
จากเบรสชาสู่โรม Chopard กับมหากาพย์ Mille Miglia และเรือนเวลาแห่งตำนาน
Tick & Talk: เมื่อชัยชนะอยู่ใน DNA สัมผัสหัวใจแห่ง “Designed to Win” จาก TAG Heuer

Share post:

More like this

ว่าด้วยนาฬิกา Minute Repeater บทกวีแห่งความเที่ยงตรง

เรียนรู้ประวัติศาสตร์นาฬิกา Minute Repeater นาฬิกาที่ขานบอกเวลาด้วยเสียงอันไพเราะ หากเทียบกับยุคสมัยที่มนุษย์รับรู้เวลาด้วยการกวาดสายตาผ่านหน้าจอ และอาศัยการแจ้งเตือนแบบดิจิตัลเป็นตัวกำหนดจังหวะชีวิต นาฬิกามินิตรีพีทเตอร์ (Minute Repeater) ยังคงยืนหยัดในความเป็นแอนาล็อก...

เรื่องราวของกลไก BENU Power Reserve บทใหม่แห่งศิลปะช่างเยอรมันจาก Moritz Grossmann

Moritz Grossmann BENU Power Reserve นำเสนอการปรับปรุงรายละเอียดใหม่ที่ประณีต ด้วยหน้าปัด Azurage และเข็มทรงใหม่ ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน Calibre 100.2 พร้อมมาตรวัดพลังงานสำรองแบบเส้นตรง

นาฬิกา Grand Seiko ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

จากทะเลสาบซูวะถึงฟากฟ้ายามเที่ยงคืน Grand Seiko ถ่ายทอดความงดงามแห่งสายน้ำบนหน้าปัดทั้ง 4 รุ่น ที่สะท้อนแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและความประณีตของญี่ปุ่น

Louis Vuitton Tambour Convergence สไตล์วินเทจมินิมัลที่ดูร่วมสมัย พร้อมลีลาการบอกเวลาที่แตกต่าง

เมื่อ Louis Vuitton เล็งเห็นเสน่ห์ในเรือนเวลา Jump Hour และผสานเข้ากับตัวตนของเมซงได้อย่างลงตัว กลายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่นาฬิกา jump hour...