บทสัมภาษณ์พิเศษ | A Narrator through ‘Time’: ฌอห์ณ จินดาโชติ กับเรื่องราวเบื้องหลัง “เวลา” ที่เป็นมากกว่านาฬิกา

Date:

เจาะลึกความสัมพันธ์ของฌอห์ณ จินดาโชติกับเรือนเวลาที่สะท้อนตัวตนและเรื่องราวชีวิต

ฌอห์ณ จินดาโชติ ชื่อนี้ที่คุ้นเคยกันดีในฐานะนักแสดงเปี่ยมเสน่ห์และผู้กำกับที่สร้างสรรค์งานอันน่าจับตา แต่เบื้องหลังแสงสีและบทบาทที่โลดแล่นยังมีอีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่…วันนี้ Revolution ชวนคุณดำดิ่งสู่โลกส่วนตัวของเขา เพื่อค้นพบว่าเหตุใดนาฬิกาแต่ละเรือนจึงเป็นมากกว่าแค่เครื่องบอกเวลา แต่คือพยานแห่งเรื่องราว ความทรงจำ และตัวตนที่ไม่เหมือนใคร เพราะนี่คือการเปิดเผยความลับของเวลาผ่านมุมมองของศิลปินผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง และผู้ที่รู้ดีว่า ทุกวินาทีมีคุณค่าและเรื่องเล่าในตัวเอง

จากนักแสดงสู่ผู้กำกับ

ก่อนที่เราจะเจาะลึกเรื่องราวการเดินทางในวงการนาฬิกา อยากอัพเดตชีวิตช่วงนี้ของคุณฌอห์ณสักหน่อยว่ากำลังทำอะไรอยู่บ้าง และอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณก้าวเข้าสู่บทบาทผู้กำกับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายสารคดี

ฌอห์ณ: ตอนนี้ผมรับหน้าที่เป็นผู้กำกับครับ กำกับงานหลากหลายแนวเลย ทั้งสารคดี หนังสั้น และงานโฆษณา หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมถึงได้มาจับงานสารคดี ก่อนหน้านี้ผมเป็นนักเขียนมาก่อนครับ ช่วงที่ยังเป็นนักแสดง ผมก็ทำงานเป็นบรรณาธิการอยู่ที่นิตยสารแห่งหนึ่งมาระยะหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเองครับที่ผมได้พบกับผู้ร่วมงานหลายท่านที่มีรสนิยมและความสนใจคล้ายกัน ผมทำงานเบื้องหน้ามาตลอด จนวันหนึ่งผมรู้สึกว่ามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของภาพ มันมีไอเดียผุดขึ้นมาเยอะมากๆ ผมเลยเริ่มรวมทีมกับคนที่เข้าใจและมีอุดมการณ์เดียวกัน จนกระทั่งตัดสินใจเปิดโปรดักชันเป็นของตัวเองมาประมาณ 4-5 ปีแล้วครับ ทีมงานส่วนใหญ่ก็มาจากนักเขียน และ DP (Director of Photography) ที่ผมเคยร่วมงานด้วยนี่แหละครับ งานของเราจึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นในแนวทางของสารคดีมาก ๆ ซึ่งในตอนนั้นสารคดีอาจจะยังดูจริงจังและเข้าถึงยากสำหรับบางคน เราเลยลองปรับให้มีกลิ่นอายของแฟชั่นมากขึ้น มี identity ที่ชัดเจนอยู่ตรงนั้น และได้ทดลองทำกับแบรนด์ของภรรยาด้วย ซึ่งผลตอบรับก็ดีครับ ทำให้เรารู้สึกว่าเออ…มันมาทางนี้ได้ และหลังจากนั้นเราก็ทำงานจริงจังในสายนี้มาเรื่อย ๆ ครับ

เส้นทางสู่โลกแห่งเวลา ความทรงจำจากวัยเยาว์

เราเชื่อว่า นาฬิกาแต่ละเรือนมีเรื่องราวในตัวเอง และสะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่ แล้วสำหรับคุณฌอห์ณเอง เส้นทางการเดินทางในวงการนาฬิกาเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร จุดไหนที่ทำให้รู้สึกอยากจะเริ่มซื้อและสะสมนาฬิกา

ฌอห์ณ: ตั้งแต่ผมจำความได้เลยครับ น่าจะอายุประมาณ 5-6 ขวบ ภาพที่ผมจำได้คือ ทุกคนในบ้านผมใส่นาฬิกากันหมดเลยครับ แล้วทุกคนใส่ข้อมือเดียวกับผมมาตลอดก็คือข้อมือซ้าย แล้ววัตถุชิ้นนี้ (นาฬิกา) มันติดตัวอยู่ตลอดเวลาครับ มันทำให้เราจำได้ว่า แต่ละคนใส่แบรนด์อะไร และคุณปู่ผมที่เราสนิทกันมาก ท่านแนะนำเราอย่างไร ตอนเด็ก ๆ ท่านก็จะมีนาฬิกาตัวเก่งของท่านอยู่ แล้วเวลาจับผิวคุณปู่คุณย่าเนี่ย เราจะจับแบบไม่ได้แค่แตะนะ แต่เราลูบตัวท่าน เราจะจับไปถึงนาฬิกาของท่าน มันก็เลยเกิดเป็น memory ที่มีสัมผัสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กลายเป็นความทรงจำระยะสั้น ๆ ที่ต่อเนื่องกันอยู่ตลอด จนกลายเป็นความทรงจำระยะยาวสำหรับเราไปเลยครับ

ก้าวแรกแห่งการสะสมกับ Breitling เรือนแรกที่เลือกเอง

ช่วยเล่าถึงช่วงเวลาที่คุณเริ่ม “อิน” กับนาฬิกาจริงๆ หรือพูดง่ายๆ ว่านาฬิกาเรือนแรกที่คุณซื้อด้วยตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมจริงๆ คือเรือนไหน

ฌอห์ณ: จริงๆ แล้วนาฬิกาเรือนแรกที่ผมใส่ในวัยเด็กน่าจะเป็น TAG Heuer สี Navy Blue เป็นบอยไซส์เลยครับ แต่ผมไม่นับช่วงเวลานั้นนะ เพราะหนึ่งคือมันไม่ใช่เงินที่ผมหามาเองครับ ผมขออนุญาต นับตอนที่ผมเริ่มทำมาหากินเองแล้วซื้อ น่าจะช่วงอายุ 22-23 ครับ ซึ่งเรือนแรกที่ผมซื้อเองก็คือ Breitling เรือนที่ผมใส่อยู่ตอนนี้เลยครับ อาจจะต้องเล่าแบ็คกราวนด์ให้ฟังก่อนครับว่า ระบบความคิดของบ้านผมไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ บ้านผมไม่ได้เป็นสายแมสครับ หรืออะไรที่ต้องตามกระแส เราเป็นคนที่เวลาจะซื้ออะไรต้องชอบจริง ๆ ครับ ไม่ได้ซื้อเพราะคนอื่นซื้อ หรือไม่ได้ซื้อเพราะทุกคนเขามีแล้วฉันต้องมี เพราะเขาจะมองว่า การซื้ออะไรที่ตามกระแสเนี่ย แป๊บเดียวก็จะเบื่อครับ มันเป็นการลงทุนเงินที่ไม่ได้คุณค่าทางจิตใจ ซึ่งบ้านผมจะให้คุณค่าทางจิตใจเป็นอันดับหนึ่ง ตรรกะอันดับสองคือเราทำทุกอย่างด้วยแพสชั่นและความรู้สึก เพราะบ้านเราเป็นศิลปินครับ ทำทุกอย่างต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองก่อน ทีนี้มาถึงเรื่องของ Breitling เรือนนี้ มันมาจากความทรงจำของคุณปู่ครับ ท่านเป็นทหารครับ และค่อนข้างเป็นนักสะสมนาฬิกาที่ดีเลย แต่ผมจะจำได้ว่า ทำไมเวลาผมเห็น Navitimer ทีไร ผมนึกถึงคุณปู่ตลอดเลย ซึ่งของคุณปู่ก็มีรุ่นนี้เหมือนกันครับ แต่จะเป็นรุ่นที่เก่ากว่า คลาสสิกกว่าแน่นอนอยู่แล้วครับ เวลาผมพูดถึง Breitling ผมจะนึกถึงผู้ชายที่ชัดเจน ซึ่งก็คือคาแร็กเตอร์คุณปู่เลยครับ ท่านเป็นคนชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่โดดเด่น แต่แข็งแรง และไม่ใช่คนที่ดูหวือหวาที่คุณต้องเข้าไปนั่งคุยกับเขา แต่ต้องใช้เวลาทำความรู้จักกับเขา แล้วผมรู้สึกว่า เราชอบบุคลิกของคุณปู่มากๆ เลยครับ ท่านเป็นสุภาพบุรุษที่ดี หนักแน่น ฉลาด ถ่อมตัว และแข็งแรง นี่แหละครับคือความชัดเจน ผมก็รู้สึกว่ามันมีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับผมครับ และด้วยกลไกตลาดในตอนนั้น ผมชอบ John Travolta อยู่แล้ว พอได้เห็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเขา หรือการที่แบรนด์เลือกคนที่ใช่มาเป็นตัวแทน มันก็มีผลนะครับ เพราะมันสะท้อนได้ว่า คาแร็กเตอร์ของแบรนด์เป็นอย่างไร และในวัยนั้นพอเริ่มทำมาหากินแล้ว พอมีกำลังทรัพย์ได้ ราคาก็ไม่ได้สูงจนน่ากลัวแล้วเพราะเรือนนี้นี่แหละครับ ที่ทำให้การเดินทางของผมต่อเนื่องยาวมาโดยตลอด ซึ่งครั้งหนึ่งผมมีโอกาสได้ถ่ายลง IG ครับ แปลกมากก็คือ Global Breitling โทรมาหาผู้จัดการ แล้วก็ให้โอกาสเป็น Friend of the Brand แล้วก็อยู่ยาวกันมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ ก็เลยต้องขอบคุณเรือนนี้มากๆ ครับ

จาก Breitling สู่ Franck Muller นาฬิกาที่สะท้อนตัวตน

หลังจาก Breitling เรือนแรกที่เปี่ยมด้วยความหมาย คุณฌอห์ณได้มองหานาฬิกาเรือนต่อไปอย่างไร และมีเรือนไหนบ้างที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันแล้วดูแตกต่างจากเรือนอื่นในกรุของคุณฌอห์ณซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครโนกราฟ

ฌอห์ณ: สำหรับผม ทุกเรือน ทุกอย่างจะมีตัวละครที่สัมพันธ์ต่อกันครับ มันอาจจะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องของจิตวิทยาความรู้สึกไปสักหน่อยนะครับ แต่เวลาผมจะซื้ออะไร ผมต้องการเหตุผลในการซื้อที่นอกเหนือไปจากแค่ความอยาก มันคือการซื้อความสัมพันธ์ การซื้อความทรงจำ การซื้อคุณค่าของมัน พอผมเริ่มเข้าสู่วัยประมาณ 25 ซึ่งเป็นช่วงเบญจเพสครับ ทำงานเก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ ก็มาต่อด้วยตัวนี้ครับ Franck Muller Casablanca หลาย ๆ คนมักเห็นว่า Franck Muller เป็นนาฬิกาที่ผู้หญิงใส่กันเยอะใช่ไหมครับ ในยุคนั้นผมเองก็ยังไม่เคยเจอผู้ชายใส่เลยครับ แต่รู้สึกว่า เฮ้ย…หน้าปัดทรงถังเบียร์ของเขาไม่เหมือนคนอื่นเลย แล้วผมไปเจอพี่ชาคริต หรือใครสักคนตอนไปทำงานด้วยกัน เห็นเขาใส่ Franck Muller แล้วมันเท่จังเลย แต่ราคาเขาก็ไม่เบาเหมือนกัน ผมก็เลยทดไว้ในใจว่า ขอทดสอบตัวเองก่อนว่า ชอบจริงหรือเปล่า จนแล้วจนรอดเวลาผ่านไปเรื่อยๆ คุณแม่ผมซึ่งเราสนิทกันมาก ท่านก็จะพูดถึง Franck Muller เสมอครับ จนวันหนึ่งท่านก็พาผมไปแนะนำให้รู้จัก Franck Muller แล้วก็เอามาทาบข้อมือ บอกว่า “จริงๆ ข้อมือเราใส่แล้วสวยนะ” แต่คุณแม่ก็กำชับว่า “อย่าซื้อเพราะแม่ชอบ ให้ซื้อเพราะตัวเองชอบ” แล้วพอดีผมเรียนด้านฟิล์มมา ผมก็จะมีหนังชื่อ Casablanca ซึ่งดังมากครับ เป็นหนังรักที่คลาสสิกมากครับ และเป็นหนัง OG (Original Gangster) มาก ๆ เลยครับ มันพูดถึงเรื่องมุมมองความรักที่โมร็อกโก ผมก็เลยรู้สึกว่า ผมแอบชอบ Casablanca กับความหมายของมัน และเริ่มเข้าใจความหมายของเมือง Casablanca มากขึ้น แต่พอลองใส่อีกทีในวัยที่โตขึ้นกว่าวัย 25 ตอนนั้นรู้สึกว่า เออ…มันเป็นคาแร็กเตอร์แบบเราเหมือนกันนะ มันเรียบ แต่ดูมีอะไรบางอย่างที่ Niche มาก ๆ ครับ ด้วยความเรียบ และตัวเลขที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ก็ยิ่งรู้สึกว่า มันก็มีความเป็นเราที่ดูเรียบ แต่คุณต้องรู้จักจริง ๆ ถึงจะเข้าใจ พอถึงเวลาเหมาะสมก็เลยดึงเขาเข้ามาในชีวิตเราครับ

รสนิยมและตัวตนที่สะท้อนผ่านนาฬิกา

จากการเลือกนาฬิกาแต่ละเรือนที่ผ่านมา สังเกตได้ว่า คุณฌอห์ณชื่นชอบนาฬิกาที่มีคาแร็กเตอร์โดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข หรือรูปทรงที่จดจำได้ทันที คุณคิดว่า รสนิยมนี้สะท้อนถึงแง่มุมใดในตัวตนของคุณบ้าง

ฌอห์ณ: ผมไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้องหรือเปล่านะครับ แต่สำหรับผม ผมว่า รสนิยมในเรื่องนาฬิกา รถยนต์ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเหมือนเราเลือกความรักเหมือนกันครับ สิ่งที่เราชอบจะบอกถึงรสนิยมหรือคนที่เรารัก แล้วรสนิยมเรื่องนาฬิกาของผมคล้าย ๆ กับคาแร็กเตอร์ของคนที่ผมรัก ผมรู้สึกอย่างนั้นครับ ความชอบมันจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ช่วงวัย และประสบการณ์

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวคุณฌอห์ณ หรือกับกรุนาฬิกาของคุณบ้างไหม เริ่มมีทิศทางที่เปลี่ยนไป หรือยังคงชอบแบบเดิมอยู่

ฌอห์ณ: แปลกมากเลยครับ ผมเป็นคนชอบอะไรก็ชอบอยู่อย่างนั้นครับ แค่เปลี่ยนเลเยอร์ของมัน เปลี่ยนวัสดุของมัน เช่น พิงค์โกลด์วันนี้อาจจะยังไม่ชอบ อนาคตอาจจะใช่ เมื่อก่อนเป็นคนไม่ได้ชอบโกลด์ ชอบซิลเวอร์ แต่ก็เริ่มมาใส่เยลโลว์โกลด์ที่ใส่ง่าย เริ่มมาปรับตัวตามวัย แต่รูปทรงของมัน หรือความรู้สึกของมันน่ะ ผมยังไม่ค่อยเปลี่ยนเลยครับ

ความโชคดีที่มาพร้อมกับ Breitling Chronomat

การที่คุณฌอห์ณให้ความสำคัญกับนาฬิกาที่เชื่อมโยงกับความทรงจำและตัวตนนั้นน่าสนใจมาก ๆ อยากทราบว่า มีนาฬิกาเรือนใดในคอลเลกชันของคุณอีกบ้างที่เข้ามาเติมเต็มเส้นทางแห่งเวลาของคุณ และเหตุใดเรือนนั้นจึงมีความพิเศษในแบบฉบับของคุณฌอห์ณ

ฌอห์ณ: จริงๆ ผมอยากเล่าถึง Breitling Chronomat เรือนนี้ครับ เพราะมันเป็นเรือนที่ทาง Breitling Global ส่งมาให้นะครับ ได้มาประมาณ 2-3 ปีแล้วครับ มันมีคุณค่าทางความรู้สึกกับผมมากเลย เพราะจากเรือนแรกที่อยู่บนข้อมือผมอย่างตัว Navitimer ทำให้ผมได้มาเจอกับเรือนนี้ครับ ซึ่งก็มาจากการร่วมงานกับทาง Breitling นี่แหละครับ แล้ว Breitling Global ก็ส่งมาให้เลยครับ แล้วบอกว่า “เฮ้ย…ไม่ค่อยเห็นคุณฌอห์ณได้ใส่เลย อยากแนะนำให้รู้จัก” ซึ่งตอนนั้นก็เหมือนจะต้องไปงาน Global ของประเทศอื่นๆ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดพอดี จริง ๆ จะได้เจอคุณ Charlize Theron จะได้เจอ Brad Pitt ด้วย ผมตั้งใจไว้เลยว่า ต้องใส่เรือนนี้ไปเจอเขาครับ จริง ๆ ผมอยากเล่าเรื่องนี้ เพราะว่า เส้นทางจาก Breitling Navitimer เรือนนั้นมาสู่ Breitling Chronomat เรือนนี้ มันเป็นความโชคดีที่ คุณปู่สอนให้ผมรู้จักแบรนด์นี้ แล้วก็ได้เติบโตมาเรื่อย ๆ แล้วก็ได้ทำงานร่วมกับเขา พอได้มารู้จักเรือนนี้ก็เลยรู้สึกว่า ตัว Chronomat เนี่ยเป็นเรือนที่ทุกครั้งที่เวลาจะเข้าไปคุยงาน เข้าไปพรีเซ็นต์งาน ใส่เรือนนี้แล้วจะรู้สึกมีความมั่นใจบางอย่างครับ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมากครับ น่าจะเป็นเรือนที่ผมให้เป็น Lucky Watch ประจำตัว แล้วที่สำคัญคือ ปกติเราจะเลือกซื้อมาเองใช่ไหมครับ แต่เรือนนี้เหมือน Breitling เลือกเราครับ ก็เลยรู้สึกว่า โชคดีจริงๆ

Hublot Big Bang Chronograph นาฬิกาที่บ่งบอกความเป็นตัวเอง

เราเดินทางมาถึงนาฬิกาเรือนสุดท้ายที่คุณฌอห์ณจะมาเผยเรื่องราวในวันนี้ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีคาแร็กเตอร์โดดเด่นและเป็นที่จดจำเช่นกัน เรือนนี้มีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงเลือกให้เป็นนาฬิกาปิดท้ายการเดินทางของเราในวันนี้

ฌอห์ณ: เรือนสุดท้ายคือ Hublot Big Bang Chronograph เรือนนี้ผมเจอที่เมืองนอกครับ เพราะตอนนั้นยังไม่มีช็อปในไทย ผมรู้สึกว่า “เฮ้ย ทำไมมันเท่จัง” ตอนนั้นผมอยู่ในช่วงวัย 27 กำลังเข้าสู่ช่วงปลายของวัยรุ่น หลังจากได้ Casablanca มาสักพักครับ ผมเริ่มรู้สึกว่า ช่วงวัยนี้เราอยากจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นของตัวเอง ปกติแล้วนาฬิกาของผมมักจะเป็นความทรงจำที่เชื่อมโยงกับคนอื่น แต่เรือนนี้ผมอยากสร้างความทรงจำกับตัวเองครับ ผมชอบหน้าตาและสัมผัสของมันมากครับ พอได้ลองจับแล้วมันมีน้ำหนัก มีคาแร็กเตอร์ที่ดูแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้ดูตะโกน แม้ชื่อของมันคือ Big Bang แต่ดีไซน์ของมันไม่ได้หวือหวาแบบสเกเลตัน ซึ่งผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ พอได้เห็นความเรียบง่ายของมัน ผมกลับรู้สึกว่า มันมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกับตัวเราครับ ผมรอและเก็บหอมรอมริบอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดก็ได้มา พอได้มาแล้วใส่ไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่า มันถนัดข้อมือมาก เลยตั้งเป้าไว้เลยว่า วันหนึ่งจะต้องกลับมาหาอีกเรือนหนึ่งที่เป็นสีทอง แต่จะใส่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ใส่เฉพาะในโอกาสสำคัญจริง ๆ อย่างงานแต่งงานของตัวเองครับ ผมรู้สึกว่า เวลาซื้ออะไรในวันนี้ ผมจะนึกถึงอนาคตไปเลยว่า ซื้ออันนี้ให้ใคร ซื้ออันนี้เพราะอะไร และต้องการเพิ่มเรื่องราวอะไรให้กับมันครับ

ความหลงใหลในฟังก์ชันและรายละเอียด

เห็นนาฬิกาในคอลเลกชันของคุณฌอห์ณแล้ว นอกจาก Franck Muller Casablanca ที่ออกแนวสปอร์ตแคชวล เรือนอื่นๆ ดูจะเน้นฟังก์ชันโครโนกราฟเป็นพิเศษเลย แบบนี้พอจะบอกได้ไหมว่าเสน่ห์ของกลไกซับซ้อน หรือการทำงานของนาฬิกาประเภทนี้ มีอะไรที่ดึงดูดใจคุณเป็นพิเศษ

ฌอห์ณ: เวลาผมมองนาฬิกา ผมไม่ได้มองแค่เข็มชั่วโมงหรือเข็มนาทีนะ บางทีผมมองลึกลงไปถึงเข็มวินาทีด้วยซ้ำครับ อาจฟังดูแปลกนิดหน่อย แต่เวลาผมสนใจอะไร ผมไม่ได้มองแค่ภาพรวม ผมมองยันรายละเอียดปลีกย่อยเลยครับ เหมือนกับการมองคนที่คุณเจอ การแต่งตัว บุคลิกภาพ การใส่นาฬิกา การทาเล็บ หรือแม้แต่น้ำหอมที่เขาฉีด มันบ่งบอกถึงสไตล์ส่วนตัวของเขาได้ทั้งหมด ผมคิดว่า นิสัยแบบนี้อาจเป็นผลมาจากการที่ผมถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่มีผู้หญิงค่อนข้างเยอะ ทำให้ผมต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และพยายามทำความเข้าใจมัน สิ่งนี้เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกผมครับ เพราะบางครั้งเรามีโอกาสเจอใครแค่ครั้งเดียว การที่เราจดจำรายละเอียดของเขาได้ มันเหมือนเป็นแต้มต่อในอนาคตครับ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เวลาผมซื้อนาฬิกา ผมเลยไม่แปลกใจที่ตัวเองไม่ชอบสเกเลตัน แต่กลับชอบเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันดูยุกยิกอยู่ข้างในครับ

แผนในอนาคต Grail Watch เพื่อคนที่รัก

ตอนนี้มีนาฬิกาเรือนไหนที่คุณฌอห์ณเล็งไว้ในอนาคตอันใกล้ หรืออาจจะเป็น “Grail Watch” ที่ตั้งเป้าไว้ว่า ถ้าได้มาแล้วจะรู้สึกเติมเต็มอย่างที่สุด

ฌอห์ณ: ผมไม่ได้ดูให้ตัวเองครับ ณ วันนี้ที่มีอยู่รวมถึงเรือนที่ไม่ได้นำมาให้ดู ผมค่อนข้างเติมเต็มกับตัวเองแล้วครับ แล้วด้วยความที่ภรรยาผมไม่ค่อยได้ใส่นาฬิกาบ่อย แต่จะมีอยู่เรือนหนึ่งที่ทุกครั้งที่เขาเห็น เขาจะพูดตลอดว่า เขาชอบ ผมก็รู้สึกว่า ผมอยากมีความรู้สึกที่ได้ซื้อสิ่งที่เขาชอบจริง ๆ ให้เขาครับ นั่นคือ BVLGARI Serpenti มันเป็น Bucket List ของผม เป็นเป้าหมายที่ผมอยากทำให้สำเร็จ ผมรู้สึกว่า ในวันนี้ผมมีความสุขที่จะได้ตอบสนองความต้องการของคนรอบตัวครับ ผมชอบโมเมนต์แบบนั้นมากครับ

เสน่ห์เหนือกาลเวลา นาฬิกาในยุคที่ Passion นำ

ในฐานะนักสะสมที่คร่ำหวอดในวงการ คุณฌอห์ณมีคำแนะนำอะไรสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่โลกของนาฬิกา หรือผู้ที่กำลังมองหาเรือนที่ใช่สำหรับตัวเองบ้างไหม

ฌอห์ณ: ผมว่ามันมีสองประเด็นที่เราต้องแยกกัน เรื่องการลงทุนในนาฬิกา ผมคิดว่ายุคนั้นมันคงจบไปแล้วล่ะ (หมายถึงช่วงที่นาฬิกาเป็นสินทรัพย์ลงทุนยอดนิยม) แต่สำหรับคนที่สะสมนาฬิกา ผมเชื่อว่า เรามีความรู้สึกพื้นฐานเดียวกัน นั่นคือ เราเป็นคนรักเวลา เราให้ความสำคัญกับเวลา ตระหนักดีว่า เวลามีค่ามากขนาดไหน ต่อให้คุณมีนาฬิกาเป็นร้อยเรือน แต่ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าของเวลา ไม่รักษามัน ไม่ให้น้ำหนักกับคำว่า “เวลา” นาฬิกาเหล่านั้นก็จะเป็นแค่เพียงวัตถุชิ้นหนึ่งที่อยู่บนข้อมือเท่านั้นเอง ผมไม่ได้เคลมว่า ตัวเองเป็นผู้รู้เรื่องเวลาอย่างลึกซึ้งนะ แต่ผมรู้สึกว่า เวลาเป็นของที่มีคุณค่ามาก ๆ จนถึงขนาดที่ผมเอาไปตั้งชื่อหลานว่า “เวลา” เลย

คุณฌอห์ณทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า

“ผมเชื่อว่า เวลามีค่าจริง ๆ และคนที่สะสมนาฬิกาทุกคนก็รู้ดีว่าคุณค่าของมันนั้นไม่มีที่สิ้นสุด การสะสมนาฬิกาจึงเป็นพื้นฐานจากความรัก แต่มากกว่านั้นคือ มันเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้เราได้รู้ว่า เวลามันล่วงเลยไปเรื่อย ๆ เสมอ”

ฌอห์ณ กล่าว

ตลอดบทสนทนากับฌอห์ณ จินดาโชติ เราได้เห็นมิติที่ลึกซึ้งของการสะสมนาฬิกา ไม่ใช่เพียงแค่การครอบครองวัตถุหรูหรา แต่คือการเก็บเกี่ยว ความทรงจำ ความรู้สึก และคุณค่าทางใจ ที่ถ่ายทอดผ่านกาลเวลา ทุกเรือนล้วนมีเรื่องราวและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ท้ายที่สุดการเดินทางในโลกของเวลาที่คุณฌอห์ณแบ่งปันในวันนี้ ทำให้เราตระหนักว่า นาฬิกาเป็นมากกว่าเครื่องบอกเวลา แต่เป็นเครื่องบันทึกช่วงเวลาแห่งความสุข ความสำเร็จ และความผูกพัน ที่จะคงอยู่ตลอดไป หวังว่า คุณผู้อ่านจะพบความหมายและคุณค่าของ “เวลา” ในแบบฉบับของตัวเองเช่นกัน

นาฬิกาของคุณฌอห์ณ
  • Breitling Navitimer 01
  • Franck Muller Casablanca
  • Breitling Chronomat b01
  • Hublot Big Bang Chronograph

PHOTO BY: อินทราชัย เวศม์มัฆวาน

ติดตามบทสัมภาษณ์อื่นๆ เพิ่มเติม:
บทสัมภาษณ์พิเศษกับหมอตง ผู้เปิดโลกแห่งนาฬิกาคลาสสิกในแบบที่คุณไม่เคย
สัมภาษณ์พิเศษ: เปิดใจไบเบิ้ล วิชญ์ภาส ผู้หลงใหลในการสะสมนาฬิกา
The Collector’s Perspective Episode 7 | ดำดิ่งสู่โลกส่วนตัวของณอห์ณ จินดาโชติ กับความหลงใหลในโลกของเวลา

Share post:

More like this

Past/Present/Future บทสนทนาว่าด้วยอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ URWERK

บทสนทนาระหว่าง Revolution Thailand กับ Martin Frei ผู้ร่วมก่อตั้ง URWERK ทุกครั้งที่ได้เห็นเรือนเวลาหน้าตาราวกับยานอวกาศ ที่สามารถพาเราท่องไปทั้งในโลกแห่งอดีตและอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์...

Exclusive Interview: H. Moser & Cie. กับ Mr. Bertrand Meylan

การสัมภาษณ์พิเศษกับ Mr. Bertrand Meylan, CEO ของ H. Moser & Cie. ที่เผยถึงวิธีรับมือกับความท้าทายจากภายนอก แนวโน้มที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค และแผนการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยดีเอ็นเออันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

บทสนทนากับ Franz Linder ประธานบริหารผู้อยู่คู่ MIDO มากว่าสามทศวรรษ

บทสัมภาษณ์พิเศษจากงานเปิดตัว MIDO Multifort TV Chronograph เวลากว่า 30 ปีในชีวิตคนเรานั้นนับได้ว่า กินเวลาไปกว่าค่อนชีวิต...

CHANEL ฉลองครบรอบ 25 ปี ด้วยนาฬิกา J12 รุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน

เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จ 25 ปี นาฬิกา CHANEL J12 รุ่นลิมิเต็ดเอดิชันจึงเป็นการแสดงความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาชั้นสูงของเมซง WORDS : Wei...