Omega Speedmaster Dark and Grey Side of the Moon กับการปฏิวัติเซรามิกเพื่อสานต่อตำนานผู้พิชิตอวกาศ

Date:

Omega ปฏิวัติ Speedmaster เซรามิก ด้วย 7 รุ่นใหม่มาในตัวเรือนเพรียวบางลง กลไกไขลาน Apollo 8 และ 3869 Lunar-Inspired

ถ้าเราพูดถึงการเดินทางสู่ดวงจันทร์ของ OMEGA ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และนับตั้งแต่ในปี 1968 ประวัติศาสตร์ได้ถูกจารึกเมื่อภารกิจ Apollo 8 ได้กลายเป็นเที่ยวบินแรกที่พามนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์ นักบินประจำยานบังคับการ Jim Lovell ได้ส่งข้อความสุดท้ายไปยังศูนย์ควบคุม “แล้วพบกันที่อีกฝั่งหนึ่ง” ก่อนที่สัญญาณวิทยุจะขาดหายไปในด้านไกลของดวงจันทร์

นักบินอวกาศบนยานต่างสวมใส่ OMEGA Speedmaster และนี่คือแรงบันดาลใจอันไม่รู้จบที่แบรนด์ได้นำมาสานต่อในบทต่อไปของคอลเลกชันระดับตำนานอย่าง Speedmaster Dark และ Grey Side of the Moon

ปัจจุบัน OMEGA ได้เปิดตัวนาฬิกาใหม่ถึงเจ็ดรุ่น ซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมเซรามิกและการขัดแต่งที่แม่นยำที่สุด คอลเลกชัน 2025 นี้ไม่เพียงแต่ยกย่องมรดกอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ยังนำเสนอนวัตกรรมที่จะกำหนดมาตรฐานใหม่ของโครโนกราฟในอนาคต ดังที่ Raynald Aeschlimann ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ OMEGA กล่าวไว้ว่า

"คอลเลกชัน Dark Side of the Moon เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกของ OMEGA ที่นำพาเราไปสู่ดวงจันทร์" 

นี่คือการวิวัฒนาการครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของคอลเลกชันนี้ นับตั้งแต่รุ่นแรกได้สร้างความประทับใจให้กับนักสะสมทั่วโลกเมื่อสิบสองปีที่แล้ว

การยกระดับความซับซ้อน สู่ความเพรียวบางและแม่นยำยิ่งขึ้น

นวัตกรรมหลักของคอลเลกชันใหม่นี้เริ่มต้นที่ตัวเรือน โดยมีการปรับปรุงในด้านสัดส่วนเพื่อให้มีความเพรียวบางลงในหลายรุ่น ตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของนักสะสมที่ต้องการนาฬิกาเซรามิกที่มีมิติการสวมใส่ที่คล่องตัวขึ้น นาฬิกาใหม่ทั้งเจ็ดรุ่นนี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่รูปแบบหน้าปัดที่โดดเด่น ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนแสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดสูงสุดของการนำเซรามิกมาประยุกต์ในการผลิตเรือนเวลา

รุ่นอัปเดตปี 2025 ของ Dark Side of the Moon มาพร้อมสเกล Liquidmetal™ tachymeter หน้าปัดเซรามิกแบบ two-plate ดีไซน์ใหม่ และโครงสร้างตัวเรือนที่บางลงกว่าเดิม

ในกลุ่ม Dark Side of the Moon ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติอย่าง Co-Axial Master Chronometer 9900 ได้รับการปรับโฉมใหม่ให้เพรียวบางยิ่งขึ้น พร้อมการประดับสเกลทาคีมิเตอร์ด้วย Liquidmetal™ และหน้าปัดเซรามิกสองชั้นที่ตกแต่งด้วยเลเซอร์ ทำให้เกิดมิติที่ซับซ้อนแต่ยังคงความเรียบหรูตามแบบฉบับของโครโนกราฟที่เน้นการใช้งาน

Omega Dark Side of the Moon All-Black Edition

ขณะเดียวกัน รุ่นสีดำล้วน (All-black model) ได้ติดตั้งด้วยกลไก Black Edition Co-Axial Master Chronometer Calibre 9900 ที่โดดเด่นด้วยชิ้นส่วนกลไกที่ถูกทำให้เป็นสีดำ (Darkened Movement Components) เสริมด้วยสเกลทาคีมิเตอร์เคลือบอีนาเมล

หน้าปัดเซรามิกได้รับการตกแต่งด้วยกรรมวิธีการใช้เลเซอร์และยิงทรายอย่างพิถีพิถัน พร้อมด้วยหลักชั่วโมงที่ขัดลบมุมแบบไดมอนด์และบรรจุด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova เพื่อการอ่านค่าที่ชัดเจนที่สุด

องค์ประกอบกลไกเคลือบสีเข้ม มาพร้อมขอบหน้าปัดทาคีมิเตอร์ลงยาน้ำยาเคลือบ และพื้นผิวขัดด้วยเลเซอร์ซึ่งสร้างเท็กซ์เจอร์ละเอียด คือเอกลักษณ์ของหน้าปัดในรุ่น All Black Edition

จิตวิญญาณนักบินอวกาศ จากด้านมืดสู่ด้านใกล้ของดวงจันทร์

หนึ่งในรุ่นที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือการเฉลิมฉลองให้กับลูกเรือของภารกิจ Apollo 8 และคำกล่าวของนักบินอวกาศ Jim Lovell ที่ว่า “The Moon is essentially grey” นาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกลไก Co-Axial Master Chronometer Calibre 3869 แบบไขลาน (Manual-winding) ซึ่งเป็นกลไกที่ได้รับการปรับปรุงจากตำนาน Calibre 3861

นาฬิกาตกแต่งด้วยลวดลายพื้นผิวของดวงจันทร์ที่ถูกสร้างขึ้นจากกรรมวิธีการระเหยด้วยเลเซอร์ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ผ่านกลไกด้านใน ด้านใกล้ของดวงจันทร์จะเผยโฉมระหว่างหน้าปัดแบบฉลุ (Skeletonised) สีเทา ในขณะที่ด้านไกลของดวงจันทร์จะปรากฏอยู่บนฝาหลังตัวเรือน สร้างภูมิทัศน์ดวงจันทร์ที่ดื่มด่ำ

เรือนเวลารุ่นใหม่ Apollo 8 คือการรำลึกเชิงภาพและอารมณ์ต่อภารกิจที่ได้เห็น “ด้านมืดของดวงจันทร์” เป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ ในกลุ่ม Dark Side ยังมีการเปิดตัวรุ่นพิเศษที่ติดตั้งด้วยกลไกไขลาน Black Edition Co-Axial Master Chronometer 9908 ซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยเข็มโครโนกราฟกลางสีแดงสดตัดกับหน้าปัดแบบด้านสีดำที่ประดับด้วยเครื่องหมายสีเทาและสีแดง

เพื่อเสริมความสมบูรณ์แบบให้กับความก้าวหน้าทางเทคนิค OMEGA ได้นำเสนอนวัตกรรมของสายนาฬิกาด้วย โดยสายผ้าไนลอนได้รับการบุด้วยยางด้านในเพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่ ขณะที่สายยางแบบใหม่นั้นมาพร้อมลวดลายพื้นผิวของดวงจันทร์ที่ด้านหลังสาย สร้างความเชื่อมโยงที่สัมผัสได้กับมรดกการสำรวจอวกาศ

บทสรุปเชิงวิเคราะห์กับการก้าวข้าม ขีดจำกัดของเซรามิก

สิ่งที่ OMEGA ทำในคอลเลกชัน Dark และ Grey Side of the Moon รอบใหม่นี้ คือการแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อตลาดและเทคนิคการผลิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกเหนือจากแค่การปล่อยรุ่นใหม่เพื่อสานต่อเท่านั้น แต่เป็นการ “แก้โจทย์ทางวิศวกรรม” ที่สำคัญ

ประการแรก การปรับตัวเรือนเซรามิกให้มีมิติที่เพรียวบางลง ในหลายรุ่นถือเป็นการตอบรับคำวิจารณ์ที่สำคัญที่สุดที่เคยมีมาสำหรับนาฬิกาเซรามิกของ OMEGA ซึ่งมักถูกมองว่าหนาและใหญ่ไปเล็กน้อยสำหรับข้อมือทั่วไป การปรับลดความหนาโดยไม่ลดทอนคุณสมบัติ Master Chronometer และความแข็งแกร่งของเซรามิกถือเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม

ประการที่สอง การเลือกใช้กลไก Co-Axial Master Chronometer Calibre 3869 ในรุ่น Apollo 8/Grey Side เป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาด กลไก 3869 ที่เป็นแบบไขลานได้เชื่อมโยงนาฬิกากลับไปสู่จิตวิญญาณดั้งเดิมของ Moonwatch ที่ใช้กลไก Lemania 321 และ 861 ซึ่งเป็นแบบไขลานเช่นกัน การผสานความเก่าแก่ของกลไกไขลานเข้ากับความทันสมัยของวัสดุเซรามิก และการตกแต่งกลไกเป็นลวดลายพื้นผิวดวงจันทร์แบบสามมิติที่ซับซ้อน ทำให้รุ่นนี้กลายเป็นงานศิลปะเชิงวิศวกรรมที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า

สุดท้ายนี้ การมีอยู่ของสี่หน้าปัดที่แตกต่างกัน (All-black, Dark Side ทั่วไป, Grey Side/Apollo 8, และ New Manual Black Edition) แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความเชี่ยวชาญในเทคนิคการตกแต่งเซรามิกด้วยเลเซอร์ที่ OMEGA สามารถนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง คอลเลกชันนี้ได้ตอกย้ำตำแหน่งของ OMEGA ในฐานะผู้บุกเบิกด้านเซรามิกในอุตสาหกรรมนาฬิกาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และเป็นการวางรากฐานให้กับ Chronograph ยุคใหม่ ที่เน้นทั้งความแม่นยำทาง Master Chronometer และความสง่างามที่สวมใส่ได้จริง

ข้อมูลทางเทคนิค: Omega Dark Side of the Moon Black Edition Co-Axial Master Chronometer 9908

กลไก: คาลิเบอร์ 9908 แบบ Co-Axial Master Chronometer ผ่านการรับรองจาก METAS สำรองพลังงาน 60 ชั่วโมง
ฟังก์ชัน: ชั่วโมง นาที เข็มวินาทีย่อย และโครโนกราฟ
ตัวเรือน: เซรามิก ขนาด 44.25 มม. หนา 15.09 มม. กันน้ำ 50 เมตร
หน้าปัด: เซรามิกสีดำ
สายนาฬิกา: สายยางสีดำ พร้อมบานพับเซรามิก

ข้อมูลทางเทคนิค: Omega Dark Side of the Moon

กลไก: คาลิเบอร์ 9900 แบบ Co-Axial Master Chronometer ผ่านการรับรองจาก METAS สำรองพลังงาน 60 ชั่วโมง
ฟังก์ชัน: ชั่วโมง นาที เข็มวินาทีย่อย และโครโนกราฟ
ตัวเรือน: เซรามิก ขนาด 44.25 มม. หนา 15.09 มม. กันน้ำ 50 เมตร
หน้าปัด: เซรามิกสีดำ
สายนาฬิกา: สายผ้าไนลอนสีดำบุยางด้านใน หรือสายยางสีดำ พร้อมบานพับเซรามิก

ข้อมูลทางเทคนิค: Omega Dark Side of the Moon All-Black Edition

กลไก: คาลิเบอร์ 9908 แบบ Co-Axial Master Chronometer ผ่านการรับรองจาก METAS สำรองพลังงาน 60 ชั่วโมง
ฟังก์ชัน: ชั่วโมง นาที เข็มวินาทีย่อย และโครโนกราฟ
ตัวเรือน: เซรามิก ขนาด 44.25 มม. หนา 15.09 มม. กันน้ำ 50 เมตร
หน้าปัด: เซรามิกสีดำ
สายนาฬิกา: สายผ้าไนลอนสีดำบุยางด้านใน หรือสายยางสีดำ พร้อมบานพับเซรามิก

ข้อมูลทางเทคนิค: Omega Grey Side of the Moon Edition

กลไก: คาลิเบอร์ 3869 แบบ Co-Axial Master Chronometer ผ่านการรับรองจาก METAS สำรองพลังงาน 50 ชั่วโมง
ฟังก์ชัน: ชั่วโมง นาที เข็มวินาทีย่อย และโครโนกราฟ
ตัวเรือน: เซรามิกเคลือบพลาสมา ขนาด 44.25 มม. หนา 12.97 มม. กันน้ำ 50 เมตร
หน้าปัด: โครงสร้างโปร่งใส อะลูมิเนียมอโนไดซ์สีเทา
สายนาฬิกา: สายผ้าไนลอนสีเทาบุยางสีดำ หรือสายยางสีเทา พร้อมตัวล็อกบานพับเซรามิกขัดเงา-ปัดด้าน

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
Bulova x Shelby Chronograph การแสดงความเคารพต่อรถยนต์อเมริกันมัสเซิลคาร์
IWC Schaffhausen เฉลิมฉลองตรุษจีนปีม้า เผยโฉม Portugieser Automatic 42 ลิมิเต็ดอิดิชั่น หน้าปัดสีเบอร์กันดี
“Classic Perpetual Calendar Manufacture” นิยามใหม่ของความสง่างามที่ย่อส่วน

Share post:

More like this

Bulova x Shelby Chronograph การแสดงความเคารพต่อรถยนต์อเมริกันมัสเซิลคาร์

Bulova x Shelby Racing Chronograph ลิมิเต็ด 7,500 เรือน แสดงความเคารพต่อ 1967 Shelby GT500 ด้วยตัวเรือน Bullhead 43 มม. และกลไก Precisionist 262kHz ที่แม่นยำถึง 1/1000 วินาที

IWC Schaffhausen เฉลิมฉลองตรุษจีนปีม้า เผยโฉม Portugieser Automatic 42 ลิมิเต็ดอิดิชั่น หน้าปัดสีเบอร์กันดี

IWC Schaffhausen เปิดตัว Portugieser Automatic 42 Year of the Horse (Ref. IW501709) ลิมิเต็ด 500 เรือน ตัวเรือนสแตนเลสสตีล หน้าปัดสีเบอร์กันดี กลไกอินเฮาส์ Calibre 52011 มอบกำลังสำรอง 7 วัน โดดเด่นด้วยโรเตอร์ชุบทองรูปม้ากำลังควบ

 Frederique Constant “Classic Perpetual Calendar Manufacture” นิยามใหม่ของความสง่างามที่ย่อส่วน

Frederique Constant เปิดตัว Classic Perpetual Calendar Manufacture ใหม่ ด้วยขนาดที่เพรียวบางลงเหลือ 40 มม. และกลไก FC-776 ที่ได้รับการอัปเกรดให้มีกำลังสำรอง 72 ชั่วโมง พร้อมตัวเลือกหน้าปัด 4 สี รวมถึงรุ่นลิมิเต็ดเยลโลว์โกลด์ 18K

Hublot MP-17 Meca-10 Arsham Splash การผสานงานศิลป์โบราณคดีเชิงจินตนาการกับพลังงาน 10 วันของจักรกลที่ถูกย่อส่วน

Hublot MP-17 Meca-10 Arsham Splash Titanium Sapphire คือผลงานนาฬิกาข้อมือชิ้นแรกของ Daniel Arsham สำหรับ Hublot โดดเด่นด้วยตัวเรือนไทเทเนียม 42 มม. และช่องเปิดรูปทรงน้ำกระเซ็นที่เผยกลไกไขลาน HUB1205 (MECA-10) 10 วัน ผลิตจำนวนจำกัด 99 เรือน