Omega Seamaster Aqua Terra เปล่งประกายสีเทอร์ควอยซ์รับซัมเมอร์ 2025

Date:

หน้าปัดสีสันสดใสจับคู่กับขอบหน้าปัดเซรามิกด้านและสายยางแบบฟิตตัวเรือน มอบความสดชื่นแบบสปอร์ตให้กับนาฬิกาคลาสสิกของ Omega

Omega ได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนว่าสีเทอร์ควอยซ์ไม่ใช่แค่สีที่ฉาบฉวย แต่มันคือความผูกพันที่จริงจัง ซัมเมอร์นี้สีดังกล่าวได้กลับมาสู่คอลเลกชัน Seamaster Aqua Terra อีกครั้งในสองขนาด คือ 38 มม. และ 41 มม. แต่ให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม นาฬิการุ่นสายโลหะเมื่อปีที่แล้วให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับนาฬิกาแบบเดรส แต่รุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับลุคที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เรียบง่ายแต่มีเหตุผล: ขอบหน้าปัดทำจากเซรามิกสีดำด้าน และสายยางสีดำแบบฟิตตัวเรือนที่เดินตะเข็บด้วยด้ายสีเทอร์ควอยซ์เพื่อให้เข้ากับหน้าปัด ยังคงเป็นหน้าปัดที่สดใสเหมือนเดิม แต่มีความเงางามน้อยลงและเน้นการใช้งานมากขึ้น

Omega Seamaster Aqua Terra 150M สีเทอร์ควอยซ์ ขนาด 41 มม. (ซ้าย) และ 38 มม. (ขวา)

ส่วนประกอบอื่นๆ ยังคงเป็นคุณสมบัติที่คุ้นเคยของ Aqua Terra ซึ่งไม่ใช่เรื่องแย่ กันน้ำได้ลึก 150 เมตร เม็ดมะยมแบบขันเกลียว กระจกแซฟไฟร์ทรงโค้งพร้อมการเคลือบสารกันสะท้อน และฝาหลังที่สลักลวดลายคลื่นซึ่งเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าประวัติศาสตร์ของนาฬิกาซีรีส์นี้เกี่ยวข้องกับทะเล ไม่ใช่ห้องประชุม หน้าปัดยังคงเป็นจุดเด่น: สีเทอร์ควอยซ์แล็กเกอร์ที่เข้มขึ้นบริเวณขอบหน้าปัดเพื่อสื่อถึงน้ำ พร้อมกับขีดบอกนาทีที่ตัดกันอย่างชัดเจน เข็มนาฬิกาและมาร์กเกอร์บอกชั่วโมงเป็น PVD สีดำ และสารเรืองแสงจะเปล่งประกายเป็นสีน้ำเงิน

สายนาฬิกาเป็นอีกจุดที่ควรกล่าวถึง Omega ไม่ได้ใช้วิธีการต่อสายกับตัวเรือนแบบทั่วไป แต่ Aqua Terra รุ่นใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้รับกับสายยางแบบฟิตตัวเรือน ทำให้รอยต่อระหว่างตัวเรือนกับสายดูเรียบเนียนและกระชับ ในสภาพอากาศร้อนจะสวมใส่สบายกว่าสายเหล็ก และยังช่วยให้ตัวเรือนดูมีขนาดกะทัดรัดขึ้นด้วย

การใช้เซรามิกบนขอบหน้าปัดแบบตายตัวก็เป็นการตัดสินใจที่รอบคอบเช่นกัน วัสดุนี้จะไม่เกิดรอยขีดข่วนเล็กๆ ที่ทำให้เจ้าของหลายคนหงุดหงิด และพื้นผิวแบบด้านก็ช่วยลดความจัดจ้านของหน้าปัดลงเล็กน้อย การใช้ขอบหน้าปัดสีดำแทนที่จะเป็นสเตนเลสสตีลขัดเงาช่วยให้ดีไซน์ดูคมขึ้น ทำให้สีเทอร์ควอยซ์ดูเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์อย่างจงใจ ไม่ใช่แค่การตกแต่ง อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือ แม้ว่าเซรามิกจะทนทานต่อการขีดข่วน แต่ก็อาจแตกได้หากกระแทกกับพื้นผิวแข็งแรงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ข้อดีของมันจะชัดเจนกว่ามาก

รุ่น 41 มม. มาพร้อมกลไก Co-Axial Master Chronometer Calibre 8900 ในขณะที่รุ่น 38 มม. มาพร้อมกลไก Calibre 8800

นาฬิการุ่น 41 มม. ใช้กลไก Co-Axial Master Chronometer Calibre 8900 ขณะที่รุ่น 38 มม. ใช้ Calibre 8800 ซึ่งทั้งสองรุ่นได้รับการรับรอง Master Chronometer ทำให้มั่นใจได้ว่านาฬิกาทั้งเรือนผ่านการทดสอบเรื่องความเที่ยงตรง การกันน้ำ พลังงานสำรอง และความต้านทานสนามแม่เหล็กได้ถึง 15,000 เกาส์

ในส่วนของสี สีเทอร์ควอยซ์ไม่ใช่สีที่หาได้ยากในโลกแห่งการผลิตนาฬิกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาที่เกี่ยวข้องกับน้ำ หากจะอธิบายตามหลักฟิสิกส์ อ่าวที่มีน้ำตื้นจะดูเป็นสีเทอร์ควอยซ์เพราะแสงสีแดงจะถูกดูดซับไป และแสงสีน้ำเงิน-เขียวจะส่องผ่าน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสีนี้จึงให้ความรู้สึก “ถูกต้อง” บนนาฬิกาที่เกี่ยวกับทะเล

แบรนด์ Doxa เป็นผู้บุกเบิกการใช้สีทะเลสดใสมานานแล้ว ก่อนที่โซเชียลมีเดียจะค้นพบมันเสียอีก และทั้ง TAG Heuer และ Breitling ก็มีนาฬิกาสีเทอร์ควอยซ์ในคอลเลกชันที่เกี่ยวข้องกับน้ำเช่นกัน โปรแกรม “Summer Blue” ของ Omega เองก็แสดงให้เห็นว่าแบรนด์มีความคุ้นเคยในการทำงานกับสีสันที่หลากหลาย และ Aqua Terra รุ่นใหม่นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่สดใสและอบอุ่นเหล่านั้น

การสวมใส่จะเป็นอย่างไร? ในทางทฤษฎี รุ่น 38 มม. จะดูแน่นและหน้าปัดจะอ่านค่าได้ชัดเจนกว่า ส่วนรุ่น 41 มม. จะมีพื้นที่สำหรับหน้าปัดไล่เฉดสีได้มากกว่า ขอบหน้าปัดเซรามิกจะช่วยซ่อนรอยขีดข่วนจากการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีกว่าสเตนเลสสตีลขัดเงา และสายยางก็ทนทานต่อครีมกันแดด เหงื่อ และการลงน้ำได้ดีกว่า

Aqua Terra ยังคงเป็น Seamaster ที่คุณสามารถสวมใส่ได้ทุกวัน กันน้ำได้จริง ทนทานต่อสนามแม่เหล็กที่ซ่อนอยู่ในชีวิตยุคศตวรรษที่ 21 และตอนนี้ก็มีกรอบที่ทำให้สีดูเป็นส่วนหนึ่งของแผนการออกแบบอย่างลงตัว หากคุณต้องการนาฬิกาที่มีขอบหน้าปัดหมุนได้ที่ดูโดดเด่น ให้ซื้อ Diver 300M แต่ถ้าคุณต้องการนาฬิกาเรือนเดียวที่ใช้ได้ทั้งในเมืองและริมทะเลได้อย่างมีสไตล์ นี่อาจเป็นตัวเลือกที่ใช่สำหรับคุณ

ข้อมูลทางเทคนิค
  • กลไก: Caliber 8800 (สำรองพลังงาน 55 ชั่วโมง) และ Caliber 8900 (สำรองพลังงาน 60 ชั่วโมง) ทั้งคู่เป็นระบบไขลานอัตโนมัติและได้รับการรับรอง METAS
  • ฟังก์ชัน: ชั่วโมง นาที วินาที และวันที่
  • ตัวเรือน: สเตนเลสสตีล ขนาด 38 มม. หรือ 41 มม. ขอบหน้าปัดเซรามิกเซอร์โคเนีย (ZrO₂) สีดำด้านแบบตายตัว กันน้ำลึก 150 เมตร
  • หน้าปัด: สีเทอร์ควอยซ์เคลือบแล็กเกอร์พร้อมการไล่เฉดสีดำ
  • สาย: ยางสีดำแบบอินทิเกรตพร้อมการเดินด้ายสีเทอร์ควอยซ์

Share post:

More like this

เรื่องราวของกลไก BENU Power Reserve บทใหม่แห่งศิลปะช่างเยอรมันจาก Moritz Grossmann

Moritz Grossmann BENU Power Reserve นำเสนอการปรับปรุงรายละเอียดใหม่ที่ประณีต ด้วยหน้าปัด Azurage และเข็มทรงใหม่ ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน Calibre 100.2 พร้อมมาตรวัดพลังงานสำรองแบบเส้นตรง

นาฬิกา Grand Seiko ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

จากทะเลสาบซูวะถึงฟากฟ้ายามเที่ยงคืน Grand Seiko ถ่ายทอดความงดงามแห่งสายน้ำบนหน้าปัดทั้ง 4 รุ่น ที่สะท้อนแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและความประณีตของญี่ปุ่น

Oris x Cervo Volante เมื่อนาฬิกาพาเรากลับสู่ธรรมชาติแห่งสวิส ชมความหรูหราที่มาพร้อมความรับผิดชอบ

Oris x Cervo Volante กลับมาอีกครั้งพร้อมนาฬิกาที่มีสายหนังกวางที่ได้จากกระบวนการควบคุมประชากรตามธรรมชาติในสวิตเซอร์แลนด์ หน้าปัดสีส้ม Burnt Maple พร้อมกลไก Pointer Date สะท้อนจิตวิญญาณแห่งเทือกเขาแอลป์

Santos de Cartier Titanium การบุกเบิกครั้งใหม่ด้วยไทเทเนียมและจิตวิญญาณนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่

Cartier เปิดตัว Santos de Cartier Titanium Large Model ตัวเรือนไทเทเนียม Grade 5 พ่นทรายด้าน เบากว่ารุ่นสตีล 43% ขับเคลื่อนด้วยกลไก 1847 MC พร้อมฟังก์ชัน QuickSwitch และ SmartLink เพื่อความสะดวกในการปรับเปลี่ยนสาย