เมื่อความทรงจำและอารมณ์กลายเป็นรากฐานของวงการนาฬิกา คำถามเรื่องความยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่เรื่องวัตถุดิบ แต่คือแก่นแท้ของตัวตนแบรนด์
อุตสาหกรรมนาฬิกานั้นเจริญเติบโตจากความรู้สึก และหนึ่งในสิ่งที่แข็งแรงที่สุดก็คือ การคิดคำนึงถึงอดีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในเรื่องราวของแบรนด์นาฬิกาทุกแบรนด์ที่ดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานพอที่จะมีประวัติศาสตร์ใด ๆ เป็นการส่วนตัว คำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนอาจเป็นคำถามที่ลึกซึ้งมาก
เนื่องจากเป็นคำถามที่เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบและสะสมนาฬิกาก็คือ แบรนด์ใดที่ดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานที่สุด และเนื่องจากประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คำตอบจึงไม่ชัดเจนเสมอไป (สำหรับผมเอง ผมคิดว่า Vacheron มีประวัติศาสตร์ที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่มีปรากฎ
โดยมีการเปลี่ยนชื่อและการเปลี่ยนแปลงในการบริหารมาเรื่อย ๆ ซึ่งการเริ่มผลิตนาฬิกานั้นเกิดขึ้นในราวปี 1755 ซึ่งเป็นปีที่ Jean-Marc Vacheron ก่อตั้งขึ้นที่เจนีวา แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีการผลิตนาฬิกาขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์มานานกว่านั้น แต่ถ้าคุณกำลังมองหาบริษัทที่ดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานที่สุด Vacheron ก็เป็นแบรนด์ที่สามารถเคลมได้ว่าเป็นเขานั่นเอง (ทั้งยังมีหลักฐานยืนยันทางเอกสารอีกด้วย)

คำถามที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผมเมื่อไม่นานนี้ เป็นคำถามที่ทำให้ผมประหลาดใจมาก เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะสงสัยในเรื่องนี้ แต่ว่าผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน นั่นก็คือ นาฬิการุ่นใดที่มีการผลิตต่อเนื่องกันยาวนานที่สุด โดยที่ “นาฬิกา” นี้ผมหมายถึงรุ่นของนาฬิกาโดยเฉพาะ
เรื่องนี้ทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คุณต้องกำหนดความหมายของคำว่า “การผลิตอย่างต่อเนื่อง” โดยอย่างน้อยที่สุดผมขอพูดว่า มันหมายถึงนาฬิการุ่นเดียวกันที่อยู่ในแคตตาล็อกของแบรนด์ทุกปีตั้งแต่นาฬิการุ่นนั้นเปิดตัวจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทำให้ขอบเขตแคบลงอย่างมาก
แม้เราจะได้เห็นวิวัฒนาการทางเทคนิคที่จำเป็นของตัวนาฬิกาและการผลิตนาฬิกา ซึ่งเราอาจเกิดความไม่แน่ใจว่านาฬิการุ่นที่เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบันของดีไซน์แบบดั้งเดิม จะเป็นนาฬิการุ่นเดียวกับที่เปิดตัวเมื่อกาลก่อนจริงหรือไม่ เรามาดูตัวอย่างบางส่วนกัน
Rolex Submariner
หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชันที่เห็นได้ขัดก็คือ Rolex Submariner ซึ่งเปิดตัวในปี 1953 และอยู่ในแคตตาล็อกของ Rolex นับแต่นั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนว่าลักษณะของตัวเรือนและดีไซน์ของ Submariner แบบสมัยใหม่ จะสามารถจดจำได้ทันทีว่ามันเป็นนาฬิการูปแบบดั้งเดิมในเวอร์ชั่นที่ทันสมัย
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคมากมายก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุด ได้แก่ การเปลี่ยนจากแผ่นวงขอบตัวเรือนอะลูมิเนียมมาเป็นเซรามิก การอัปเดตและการปรับปรุงกลไกต่าง ๆ รวมถึงการใช้กลไกคาลิเบอร์ใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงอย่างเล็กน้อย (แต่จะไม่เห็นว่าเล็กน้อย หากคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Rolex Submariner) ในสัดส่วนและขนาดของตัวเรือน
การเปลี่ยนแปลงขนาดของเม็ดมะยม กระทั่งการเปลี่ยนแปลงข้อความบนหน้าปัด ซึ่งอันที่จริงแล้วแทบไม่มีคุณลักษณะใด ๆ ของนาฬิการุ่นนี้เลย ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปีเปิดตัว แม้ฉันจะคิดว่าการผลิตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 7 ทศวรรษนั้น ดูเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง


Breitling Navitimer
อีกหนึ่งผู้ประชันที่น่าสนใจก็คือ Breitling Navitimer ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชั่นเดียวกับ Submariner โดยเปิดตัวก่อน 1 ปี นั่นก็คือ ปี 1952 และมันก็ถือเป็นรุ่นเรือธงของ Breitling ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นต้นมา ดีไซน์ของมันได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันมีความเด่นชัดเฉพาะตัวมากมาโดยตลอด
ซึ่งเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่า Submariner เสียด้วยซ้ำ และแม้ว่านาฬิการุ่นนี้จะผ่านการปรับปรุงทางเทคนิคมาหลายต่อหลายครั้งเช่นเดียวกับ Submariner ซึ่งรวมถึงเรื่องของกลไกด้วย แต่เค้าโครงหลัก ๆ และวงขอบตัวเรือนแบบสไลด์รูล ก็ทำให้สามารถบอกได้ทันทีว่าเป็นนาฬิการุ่นเดียวกับช่วงต้นทศวรรษ 1950s


Omega Speedmaster Professional
มาต่อกันด้วยนาฬิกาอีกรุ่นหนึ่งจากยุค 50s นั่นก็คือ Omega Speedmaster Professional นาฬิกาที่เปิดตัวในปี 1957 ซึ่งเวลาต่อมาได้มีภาษาการออกแบบที่แตกต่างไปจากรุ่นดั้งเดิม ซึ่งก็คือ 2915 ที่มีเข็มเป็นรูปทรงลูกศรขนาดใหญ่ที่เรียกว่าบรอด แอร์โรว อยู่เล็กน้อย แต่เข็มลักษณะดั้งเดิมก็กลับมาเป็นที่นิยมกันอีกในปัจจุบัน และมีวงขอบตัวเรือนเป็นสตีลผิวขัดเงา
แต่เวอร์ชั่นที่เชื่อว่าเราทุกคนนึกถึง ณ ปัจจุบันก็คือ Moonwatch ซึ่งใช้กลไกแบบ คอลัมน์วีล แลเทอรัล คลัตช์ คาลิเบอร์ 321 ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นฐานของกลไก Lemania CH 27 เช่นเดียวกับรุ่นดั้งเดิม
โดยเปิดตัวด้วยชื่อรหัส 2998 ในปี 1959 ผมคิดว่าดีไซน์ของนาฬิการุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่า Submariner หรือ Navitimer ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยการใช้เข็มนาฬิกาแบบแท่งในหน้าปัดย่อยซึ่งเปิดตัวในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960s



ผมคิดว่า Speedmaster มีจุดอ่อนอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องการผลิตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวกลไกแบบโคแอ็กเซียล คาลิเบอร์ 3861 ในปี 2019 ทั้งนี้ก็เพราะกลไกที่ใช้อยู่ก่อนหน้าซึ่งเป็นคาลิเบอร์ 861 และ 1861 นั้นเป็นทายาทโดยตรงของคาลิเบอร์ 321 แต่ได้รับการปรับปรุงให้เรียบง่ายขึ้น
ด้วยการใช้บาลานซ์สปริงแบบแนวราบแทนแบบโอเวอร์คอยล์ และใช้ระบบแคม-โอเปอเรเตด สวิตชิง แทนคอลัมน์วีล ในคาลิเบอร์ 321 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คาลิเบอร์ 321/861/1861 มีอยู่เหมือนกันก็คือ ทั้งสามได้รับการรับรองให้เหล่าลูกเรือของ NASA สวมใส่ในการปฏิบัติภารกิจอวกาศ ที่ซึ่ง Speedmaster ได้รับการรับรองใหม่อีกครั้งในปี 1972
กลไกคาลิเบอร์ 3861 ของ Moonwatch รุ่นสมัยใหม่ไม่ได้แตกต่างจากคาลิเบอร์ 1861 มากนัก แต่ได้รับการปรับปรุงด้วยการใช้กลไกแบบโคแอ็กเซียล เอสเคปเมนท์ และบาลานซ์สปริงซิลิกอน ซึ่งทำให้สามารถผ่านการรับรองมาตรฐานมาสเตอร์ โครโนมิเตอร์ ของ METAS ได้
แม้ว่าเท่าที่ผมรู้ จะยังไม่ได้รับการรับรองครั้งใหม่จาก NASA ก็ตาม นาฬิกานี้ยังคงเป็นรุ่นเดิมหรือไม่ คุณอาจโต้แย้งในคำถามนี้ได้ เพราะอาจรู้สึกว่ามันขาดความต่อเนื่องมากกว่าการแค่อัปเดตกลไกที่เราเห็นในรุ่น Navitimer หรือ Submariner

โดยรวมแล้ว ผมคิดว่านาฬิกาเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่มั่นคงแข็งแรงมากสำหรับระยะเวลาในการผลิตอย่างต่อเนื่อง แม้อุตสาหกรรมนาฬิกาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะเติบโตจากความแปลกใหม่มากกว่า และการนำเสนอนาฬิการุ่นใหม่ที่สร้างความฮือฮาได้นั้น มักได้รับความสำคัญมากกว่าการนำเสนอนาฬิกาสไตล์คลาสสิกที่ออกมาปีแล้วปีเล่า
แต่ผมมักรู้สึกและมักเขียนว่า นาฬิกาสไตล์คลาสสิกรุ่นต่าง ๆ นั้นมีเหตุผลบางอย่างที่แบรนด์ต่าง ๆ ยังคงให้ความสำคัญกับการมอบความเชื่อมโยงกับอดีตที่จับต้องได้ให้แก่แฟน ๆ ของตน พระเจ้ารู้ดีว่าสิ่งนี้ใช้ได้ผลกับ Rolex
Cartier Tank Louis Cartier
นาฬิกาที่ผลิตอย่างต่อเนื่องกันมาที่มีความเก่าแก่ที่สุดนั้น น่าจะเป็น Santos-Dumont หรือ Cartier Tank แม้ผมเองจะรู้สึกว่า Tank ค่อนข้างเป็นเช่นนั้นมากกว่า เพราะไม่ค่อยแน่ใจว่า Santos เคยมีการหยุดผลิตไปบ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม Tank โดยเฉพาะ Tank Louis Cartier ดูเหมือนว่าจะคงอยู่มาโดยตลอดในรูปแบบที่แทบจะเหมือนกันกับตอนที่ Louis Cartier เปิดตัวในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในปี 1921
โดยเวอร์ชั่นปัจจุบันนั้นแทบจะเหมือนกับรุ่นดั้งเดิมทุกประการ ยกเว้นขนาด และกลไกคาลิเบอร์ MC 8971 ซึ่งเป็นคาลิเบอร์ 846/1 ของ Jaeger-LeCoultre ที่นำมาเปลี่ยนชื่อใหม่ จึงถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่ Edmond Jaeger อยู่เล็ก ๆ
โดยเขาเป็นผู้สนับสนุนกลไกให้กับ Cartier มาตั้งแต่ปี 1907 แล้ว ซึ่งหากเราถือว่า Tank LC อยู่ในแคตตาล็อกมาตั้งแต่ปี 1921 ก็เท่ากับว่ามีอายุราว 103 ปีแล้ว ซึ่งผมคิดว่าเป็นตัวเลขที่ยากจะมีใครเอาชนะได้ในแง่ของความต่อเนื่องที่แท้จริง



นาฬิกาทั้ง 4 รุ่นนี้ ถือเป็นคอลเลกชั่นที่ไม่มีใครเทียบได้หากพิจารณาจากตัวมันเอง และยังเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงพลังของแบรนด์ที่เคารพในมรดกของตนเองอีกด้วย แน่นอนว่ายังมีนาฬิกาคลาสสิกรุ่นอื่น ๆ อีกหลายรุ่นซึ่งออกจำหน่ายในเวลาต่อมา เช่น Patek Philippe (แม้ว่าการเลิกผลิตนาฬิกาเรือนสตีล 5711 จะทำให้สูญเสียความต่อเนื่องในการเชื่อมโยงโดยตรงกับรุ่นดั้งเดิม ถึงจะไม่ใช่ในเรื่องของดีไซน์ก็ตาม)
ส่วน Patek Aquanaut (ที่ออกมาในปี 1997 และยังคงมีรุ่นสตีล จำหน่ายอยู่ในราคาที่ถือว่าคุ้มมาก) และแน่นอนว่าต้องมี Royal Oak Jumbo ด้วย ซึ่งสำหรับรุ่นนี้ ดูเหมือนว่าความต่อเนื่องจะขาดหายไปจากการหยุดผลิตกลไกขนาดบางเป็นพิเศษคาลิเบอร์ 2121 และการเปิดตัวของ 7121 แต่ถ้าเราไม่ตำหนินาฬิการุ่นอื่น ๆ ในลิสต์สั้น ๆ ของเราในเรื่องของการอัปเดตกลไก เราก็ไม่สามารถตำหนิ Royal Oak ได้เช่นกัน เพราะถือเป็นความไม่ยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องดีที่ได้ทราบว่ายังมีนาฬิกาบางรุ่นที่ยังมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับแหล่งกำเนิดและประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาเหล่านั้นออกมา หากคุณมองนาฬิกา Tank LC บนข้อมือของคุณแล้วได้รู้ว่านี่คือรุ่นเดียวกับที่ Louis Cartier เคยเห็นเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันไม่สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ จากการนำกลับมาสร้างสรรค์หรือผลิตขึ้นใหม่
“ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกเรือนเวลาสุดล้ำได้ที่ Revolution Thailand แหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับนักสะสมนาฬิกาตัวจริง”
โดย Jack Forster

