เปิดมองมุมและประสบการณ์จากผู้นำด้านนาฬิกาอิสระ Bovet, Czapek & Cie และ SHH Pendulum ในงาน Bangkok Watch Week 2025

แบรนด์นาฬิกาอิสระก้าวขึ้นมาเป็นกระแสนิยมในวงการนาฬิกาชั้นสูงได้อย่างไร Revolution นำโดย moderator คนสำคัญ Wei Koh ขอพาสาวกนาฬิกาทุกท่านร่วมเปิดประสบการณ์การเดินทางของแบรนด์นาฬิกาอิสระที่ได้รับการยอมรับในหมู่นักสะสมนาฬิกาทั่วโลก ผ่านมุมมองของ Pascal Raffy ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Bovet ร่วมด้วย Xavier de Roquemaurel ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO แห่ง Czapek & Cie และ Ong Ban CEO แห่ง SHH Pendulum ตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์อิสระ ผู้มีวิสัยทัศน์ในการเล็งเห็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโต
มากกว่าเรื่องราวการเดินทางและกระบวนการสร้างสรรค์นาฬิกาที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวสูง สิ่งที่หล่อหลอมแบรนด์นาฬิกาอิสระให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่แข็งแกร่งแห่งโลกนาฬิกาในปัจจุบันต้องอาศัยปัจจัยใดบ้าง คุณเหว่ยจะพาทุกท่านร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันบนเวทีเสวนา “The Evolution of Product Development” โดย Revolution ในงาน Bangkok Watch Week 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานมานี้
หัวใจของแบรนด์นาฬิกาอิสระ

“แบรนด์นาฬิกาอิสระคืออะไร?” คุณเหว่ยขอเปิดการเสวนาด้วยการตั้งคำถามที่หลายคนสงสัย ซึ่งผู้ที่อาสาตอบคำถามนี้คือคุณอง บัน แห่ง SHH Pendulum ในฐานะนักสะสมและตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์อิสระที่มีความชำนาญเฉพาะตัวและกำลังเป็นที่ต้องการในกลุ่มนักสะสมนาฬิกาตัวยง โดยคุณอง บันได้ไขข้อสงสัยนี้ไว้ว่า
“แบรนด์อิสระในปัจจุบัน หมายถึงผู้ผลิตนาฬิกาอิสระที่สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ พร้อมทั้งมุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมอย่างสูง” ก่อนจะขอย้อนเล่าถึงความเป็นมาของการแจ้งเกิดของกลุ่มแบรนด์นาฬิกาอิสระที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในอุตสาหกรรมนาฬิกาในปัจจุบัน
“หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดในโลกแห่งนาฬิกาที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ผ่านมา คือปี 1989 เมื่อ Patek Philippe เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 150 ปี นั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นาฬิกาจักรกลกลับมาฟื้นตัวอย่างยิ่งใหญ่ และด้วยคาลิเบอร์ 89 กับนาฬิกาแบบ Officer ที่มีเข็มชั่วโมงแบบกระโดด (Jumping Hour) ก็ได้วางรากฐานสำหรับทิศทางในอีกหลายทศวรรษถัดมา
เมื่อพูดถึงนาฬิกาข้อมือ โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือจากแบรนด์อิสระ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในปี 1988 ทั่วทั้งโลกมีนาฬิกาทูร์บิญองอยู่เพียง 500 เรือนเท่านั้น ทั้งที่เก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์และในครอบครองของนักสะสม ต่อมาในช่วงต้นยุค ‘90s มีสองบริษัทอิสระที่ลุกขึ้นมาฟื้นฟูคอมพลิเคชันนี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งในยุคนั้นทูร์บิญองยังไม่ได้รับความนิยมอย่างในปัจจุบัน สองบริษัทนั้นคือ Franck Muller และ Daniel Roth พวกเขาเป็นผู้ผลิตอิสระรายเล็กที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความกล้าที่จะเสี่ยงอย่างมหาศาล
สำหรับผม ช่วงยุค ‘90s คือยุคโรแมนติกของวงการนาฬิกา เพราะแทบทุกสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาจากแบรนด์อิสระในเวลานั้น ล้วนทำให้พวกเราตกหลุมรัก และเมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน เรามี Czapek และ Bovet ซึ่งเราจะได้พูดคุยกับคุณราฟฟี่และซาเวียร์ เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนของแบรนด์พวกเขา สิ่งที่ทำให้แบรนด์นาฬิกาของเขาน่าหลงใหลและทำให้ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมกับความหลงใหลนั้นได้อย่างเต็มเปี่ยมในผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้”

ผู้ก่อตั้งสองแบรนด์นาฬิกาอิสระรับช่วงต่อด้วยการเล่าถึงประวัติศาสตร์ของแบรนด์ และปรัชญาที่แต่ละแบรนด์ยึดมั่นเสมอมา เริ่มจาก Czapek & Cie ที่คุณซาเวียร์ที่เน้นย้ำเรื่องความซื่อสัตย์ต่อตัวตนของแบรนด์ และการเคารพในจิตวิญญาณของผู้ก่อตั้งเป็นการวางรากฐานอันมั่นคง การย้อนกลับไปตั้งคำถามและทบทวนรากเหง้าของแบรนด์เสมอ ทำให้ทิศทางในอนาคตของ Czapek & Cie ชัดเจนและแน่วแน่ในเส้นทางที่เดินไปข้างหน้า
“เราตัดสินใจที่จะซื่อสัตย์ต่อผู้ก่อตั้ง เพราะเราคิดว่ามันเกี่ยวกับตัวตนและ “จิตวิญญาณ” ของผู้ก่อตั้ง และเรามองว่าแบรนด์เป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เพียงของเล่นในมือของเจ้าของ มันมีเอกภาพ มีอิสรภาพ และนั่นคือสิ่งที่จะนำทางการพัฒนาของเรา เราคิดถึงผู้ก่อตั้ง François Czapek และเราเลยตัดสินใจวางเก้าอี้ตัวที่สี่ขึ้นมา ตอนแรกเรามีสามคน และมีเก้าอี้ตัวที่สี่สำหรับเขา เราจะถามตัวเองเสมอว่า “ถ้าวันพรุ่งนี้ François Czapek อยู่ตรงนี้ เขาอยากทำอะไร?
เรามองย้อนกลับไปยังผลงานสร้างสรรค์ต่าง ๆ นาฬิกาพกโบราณที่เคยถูกประมูลโดย Antiquorum, Christie’s หรือ Sotheby’s ซึ่งตอนแรกเราไม่มีเงินพอที่จะซื้อ (เรามีเพียง 15,000 ฟรังก์สวิสเท่านั้น) แต่เราก็ใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นห้องสมุดภาพแทนพิพิธภัณฑ์ Czapek (ที่ ณ ตอนนั้นยังไม่มี) เราพบว่าเขาหลงใหลในความงาม และพยายามสร้างความงามผ่านศาสตร์แห่งนาฬิกา เขาเป็น “ผู้สร้างสรรค์ความงาม” มากกว่าจะเป็นวิศวกร ซึ่งกลายเป็นทิศทางให้เราเดินต่อไป
เราจึงเลือกนาฬิกาเรือนหนึ่งซึ่งก็คือ Ref. 3430 และผมตัดสินใจเด็ดขาดว่านี่แหละคือทิศทางของเรา และเราก็ยังคงเรียนรู้เรื่องราวของ Czapek อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราได้เจอเรื่องเล่าและองค์ประกอบทางประวัติศาสตร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ถ้าพูดในเชิงความคิดสร้างสรรค์ เราพัฒนานาฬิกาเรือนแรกขึ้นมาชื่อรหัสว่า “From Past to Present” เพื่อแสดงวิวัฒนาการของนาฬิกา Czapek ตั้งแต่ปี 1845, 1850, 1860 มาจนถึงปี 2015 ที่เราฟื้นฟูแบรนด์ และนาฬิกาเรือนที่สองคือ “From Present to Future” ซึ่งเป็นทูร์บิญอง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เรากำหนดทิศทางในอนาคต และจากตรงนั้นเราก็เริ่มสร้างสรรค์ต่อไป”

คุณราฟฟี่เริ่มต้นเล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์และพัฒนาแบรนด์ Bovet ที่เริ่มต้นจาก ‘อารมณ์ความรู้สึก’ และเช่นเดียวกับ Czapek & Cie ความภาคภูมิใจในรากฐานและประเพณีอันเก่าแก่ของแบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นย้อนไปไกลถึงปี 1822
“ในภาษาฝรั่งเศสมีคำว่า “garde-temps” ที่หมายถึง “ผู้เก็บรักษาเวลา” มันไม่ใช่แค่การทำให้นาฬิกาเดิน แต่คือการเก็บรักษาปรัชญา ประวัติศาสตร์ มิติแห่งกาลเวลา และกลไกที่งดงามเอาไว้ และต้องแบ่งปันสิ่งนี้กับผู้คน
ตั้งแต่ปี 2006 เราเป็นโรงงานที่บูรณาการเต็มรูปแบบ ทุกกระบวนการผลิตอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน ตั้งแต่การตีเหล็กทำแม่พิมพ์ การทำสปริงบาลานซ์ ชิ้นส่วนเล็กที่สุด จนถึงตัวเรือน และผมต้องขอบคุณคุณเหว่ย และทีมที่ได้มาเยี่ยมชมโรงงานของเรา เพราะทั้งหมดนี้ทำให้เราไม่เพียงแค่มีทักษะ แต่ยังมี “หน้าที่ในเชิงศีลธรรม” ต่อช่างฝีมือด้วย ลองคิดดูสิครับว่า ในฤดูหนาวของสวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาออกจากบ้านตอนฟ้ายังมืด มาถึงโรงงาน Bovet และกลับบ้านตอนฟ้ามืดอีกครั้ง พวกเขาทุ่มเทชีวิตให้กับงาน เราต้องบ่มเพาะแรงบันดาลใจของพวกเขา และพาพวกเขาก้าวไปข้างหน้าทุกปี”
เพื่อเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นภาพการพัฒนาในด้านนวัตกรรมของ Bovet ได้อย่างเป็นรูปธรรม คุณราฟฟี่ได้ยกตัวอย่างนาฬิการุ่น Recital 30 ที่พลิกมิติใหม่ในการบอกเวลาต่างไทม์โซน แก้ปัญหาเรื่องช่วงเวลาออมแสงที่เคยทำให้นาฬิกา world time รุ่นก่อนๆ ไม่สามารถบอกเวลาได้เที่ยงตรงในบางฤดูกาล
“ที่ Bovet งานช่างฝีมือคือหัวใจ แต่เรายังใส่ความงามทางกลไกและนวัตกรรมควบคู่ไปด้วย และนั่นคือที่มาของนาฬิการุ่น Recital 30 ซึ่งเป็นเหมือน “การเดินทางแห่งกาลเวลา” ระหว่างผมกับทีมงาน เพื่อสร้างความสุขสูงสุดให้กับนักสะสมของเรา”
เบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมล้ำสมัย

Moderator ของเรายังได้กล่าวยกย่องหัวเรือใหญ่ของทั้งสองแบรนด์ว่า ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นผู้บริหารแต่จิตวิญญาณของทั้งคู่คือศิลปินโดยแท้ เปรียบได้กับคำกล่าวของนักเขียนชาวฝรั่งเศส Marcel Proust ที่มีอยู่ว่า
““ความสง่างามคือโลกที่แต่ละคนเห็น แต่คนอื่นไม่อาจมองเห็นได้ ส่วนศิลปะคือความสามารถในการทำให้สิ่งนั้นปรากฏออกมา” และสุภาพบุรุษทั้งสองท่านก็ทำสิ่งนั้นออกมาได้อย่างงดงาม”
Wei Koh อ้างคำพูดของ Marcel Proust บนเวทีเสวนาจัดขึ้นโดย Revolution Thailand ในงาน Bangkok Watch Week 2025
พร้อมแสดงความชื่นชมทั้งสองในฐานะเพื่อนร่วมวงการนาฬิกาที่รู้จักนิสัยและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนเป็นอย่างดี
“คุณราฟฟี่อาจจะถ่อมตัว แต่สำหรับผม Bovet คือเมซงที่รวมเอาความซับซ้อนทางกลไก เช่น ทูร์บิญองสองแกน ระบบลูกกลิ้ง ปฏิทินถาวร เข้ากับความงามแห่งจักรวาลได้อย่างลงตัว ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนจากตัวตนของคุณราฟฟี่เอง ที่ชอบใช้เวลาอยู่ที่ปราสาทของเขาใน Môtiers มองดูดวงดาว ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างดาวเคราะห์ และนั่นคือสิ่งที่เขานำมาถ่ายทอดผ่านนาฬิกา เช่น Recital 22 ที่มีเทลลูเรียม มองโลกจากขั้วเหนือพร้อมดวงจันทร์สามมิติที่โคจรรอบโลก แถมยังมีกลไกปฏิทินถาวร และทูร์บิญองอีกด้วย
ส่วนคุณซาเวียร์ก็มีความสามารถพิเศษในการถอดบทเรียนจากอดีต มาตีความใหม่ให้มีชีวิตชีวาและร่วมสมัย ผมจึงอยากฟังจากคุณซาเวียร์เกี่ยวกับเรื่องราวของ Antarctique “Passage du Drake” และว่าคุณสร้างหนึ่งในสายนาฬิกาอินทิเกรตที่โดดเด่นที่สุดขึ้นมาได้อย่างไร ในช่วงเวลาที่คุณเริ่มค้นหาน้ำเสียงของตัวเองในฐานะผู้ผลิตนาฬิกา” moderator ผู้เป็นดั่งเอ็นไซโคพีเดียเกี่ยวกับโลกนาฬิกาเอ่ยถามถึงผลงานอันน่าทึ่งของ Czapek & Cie เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงเบื้องหลังกระบวนการสร้างสรรค์นาฬิกาอันน่าทึ่ง


บุรุษผู้อยู่เบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ของ Czapek & Cie ย้อนเล่าถึงบทสนทนาระหว่างบุคคลสำคัญในวงการนาฬิกาขณะนั่งจิบเครื่องดื่มในกรุงมาดริด ซึ่งจุดประกายให้เขาผลิตนาฬิกาเพื่อนักสะสมที่หลงใหลในศาสตร์นาฬิกาชั้นสูงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่มองนาฬิกาเป็นเครื่องยกระดับสถานะ
“เขาบอกกับผมว่า “คุณรู้มั้ย ผมมีตัวเลขสถิติ เพราะผมมีคลังข้อมูลนาฬิกาและเห็นว่าคนส่วนใหญ่สนใจดูแค่นาฬิกา 3 รุ่นเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันถูกเรียกว่า Trinity คุณก็น่าจะรู้ว่ามันคือรุ่นไหน ตั้งแต่ปี 2017 มันน่าเบื่อแล้ว เพราะมีแต่นาฬิกา 3 รุ่นนี้ที่ดึงความสนใจไปถึง 90% ของตลาด” แล้วเขาก็ท้าผมแบบขำๆ ระหว่างนั่งดื่มว่า “คุณลองสร้างอะไรใหม่ๆ ที่เป็นนาฬิกาสปอร์ตสายอินทิเกรตกลไกอัตโนมัติ ดูสิ” ผมก็รู้สึกว่าน่าสนุกดี ตอนนั้นเรามีนาฬิกาเรือนที่สามอยู่ในสายการผลิตเกือบเสร็จแล้ว ผมเลยคิดว่า “โอเค งั้นเรามาทำเรือนที่สี่ให้ไปในทิศทางนี้
อีกทั้งนักสะสมหลายคนยังบอกกับผมว่า “ผมชอบ Quai des Bergues มาก แต่ว่าจะใส่เฉพาะวันอาทิตย์เพราะมันคลาสสิกและหรูหรา แต่วันธรรมดาผมต้องใส่นาฬิกาที่ดูใช้ง่าย เป็น daily banger เพราะหัวหน้าผมคิดว่าเขารู้เรื่องนาฬิกาเยอะ แต่ผมไม่สามารถใส่อะไรที่โดดเด่นเกินไปได้ ต้องระวัง” จากตรงนั้นผมเลยเข้าใจว่า จุดสำคัญคือต้องทำงานกับกลไก เพราะนาฬิกา Trinity ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ มันไม่ได้ตอบโจทย์ความรักในศาสตร์แห่งการผลิตนาฬิกาของนักสะสมนาฬิกาเลย มันแค่เป็น daily banger ที่ยกระดับขึ้น แต่ไม่ได้ให้การขัดแต่งผิวที่ลึกซึ้ง เช่น การขัดลบมุมภายใน การขัดเงา อะไรแบบนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเวอร์ชันที่อุตสาหกรรมมากๆ ของวงการนาฬิกาชั้นสูง
ดังนั้นเราจึงพัฒนากลไกใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น และแน่นอนว่ามีความผิดพลาดมากมาย แต่ความผิดพลาดนี่แหละสำคัญ เพราะมันนำไปสู่การคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ปัญหาคือจุดเริ่มของนวัตกรรมเสมอ หลังจากนั้นเราก็มาทำงานกับสายสร้อยข้อมือ เพราะนักสะสมคนหนึ่งบอกผมว่า “ไม่ว่านาฬิกาจะมีตัวเรือนแบบไหน แต่สิ่งที่จะทำให้มันกลายเป็นตำนานได้จริงๆ คือสายสร้อยข้อมือ” ดังนั้นเราจึงพัฒนามันจากมุมมองนี้”
คุณเหว่ยยังเสริมถึงรายละเอียดอันน่าทึ่งของรุ่น Antarctique ที่ต้องพลิกชมด้านหลังถึงจะได้เห็นกลไกอันน่าตื่นตาทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสง่างาม
“มันเป็นกลไกเดียวในกลุ่มนาฬิกาสปอร์ตชิคที่มีสถาปัตยกรรมแบบนี้ คือ full bridge movement ซึ่งหมายความว่าล้อแต่ละตัวในเกียร์เทรนจะมีสะพานจักรของตัวเองทั้งหมด และแต่ละชิ้นก็ถูกออกแบบเป็น skeletonized finger bridge ซึ่งทั้งแข็งแรงและงดงามอย่างเหลือเชื่อ”
อีกหนึ่งนวัตกรรมอันน่าทึ่งและถือเป็นการพลิกวงการนาฬิกา world time เลยก็ว่าได้นั่นก็คือนาฬิกา Bovet Recital 30 ที่ได้เอ่ยถึงไปแล้วในเบื้องต้น แต่คุณเหว่ยขอให้คุณราฟฟี่เจาะลึกถึงเบื้องหลังการสร้างสรรค์นาฬิกา world time ที่ไขปริศนาในการบอกเวลาต่างไทม์โซนได้ ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งในวงการนาฬิกา
“ผมจะพูดครั้งแรกเลยนะครับว่า ผมต้องขอบคุณโควิด-19 สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการแพร่ระบาดคือเราทุกคนต้องจัดประชุม Zoom หรือ Teams กับคนทั่วโลก และส่วนใหญ่เราก็มักจะใส่เวลาผิดเสมอเวลาส่งคำเชิญ ผมจึงสัญญากับตัวเองและทีมว่าจะต้องหาทางแก้ปัญหานี้ให้ได้ และสร้างนาฬิกา world time ที่สามารถจัดการกับ Daylight Saving Time ได้

เรารู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า หากวันหนึ่ง 70 กว่าประเทศที่ยังใช้ Daylight Saving Time ตัดสินใจยกเลิกไป นาฬิกาเรือนนี้ก็จะกลายเป็น พยานทางประวัติศาสตร์ 200 ปีของมนุษยชาติ และผมชอบความคิดนี้มาก หลังจากนั้นเราก็พัฒนาต่อเนื่องมาจนถึง Prowess 1 ที่ชนะรางวัล Mechanical Exception จาก GPHG ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเรือนที่ชนะในรอบ 7 ปี แต่แน่นอนครับ Prowess 1 ไม่ใช่นาฬิกาที่คุณจะใส่ทุกวัน มันเหมาะกับโอกาสพิเศษมากกว่า
ผมเลยคิดว่าอยากสร้างนาฬิกาคอมพลิเคชั่นที่ใส่ได้ทุกวัน ขนาด 42 มม. ความหนา 11.8 มม. ที่มีความสดใหม่ ไม่ใช่เพราะเราเป็นแบรนด์ที่มีอายุ 203 ปีแล้วจะต้องดูโบราณ ผมไม่เชื่อใน “แฟชั่น” เพราะแฟชั่นคือสิ่งชั่วคราว แต่ผมเชื่อใน “ประเพณี” ที่คงอยู่ แต่ประเพณีนั้นก็ยังสามารถมองในเชิงบวกและร่วมสมัยได้
เราพัฒนากลไกนี้อยู่นานถึง 7 ปี และในเดือนมิถุนายน 2022 กลไกแรกก็เสร็จสมบูรณ์ Jacques, Stephane, Florent มาที่ปราสาทของเรา และเรามีธรรมเนียมว่าจะต้องปิดบังกลไกและตัวเรือนแรกเอาไว้เพื่อดูว่าเมื่อได้ลองใส่บนข้อมือแล้วเราจะรู้สึก “มีอารมณ์ร่วม” หรือไม่ และผมรู้สึกทันทีว่า “สวยมาก” แต่สองนาทีต่อมาผมก็บอกตัวเองว่า “ถึงผมจะเป็นกัปตันของแบรนด์ ผมก็ต้องซื่อสัตย์ เราต้องทำซ้ำอีกครั้ง”
เพราะถึงแม้จะพัฒนาไป 5 ปีแล้ว แต่เรายังรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่หายไป ตอนนั้นเรายังใช้หน้าปัดเรียบที่แบ่งเป็น 24 ส่วนแทน 24 เขตเวลา แต่ด้วยประสบการณ์ที่เราพัฒนาปฏิทินถาวรแบบ Skeletonized ที่มี isolator จดสิทธิบัตรเพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาดระหว่าง 23:00 – 04:00 และใช้กลไก Carriage คู่ใหม่ เราก็รู้เลยว่าสิ่งที่ขาดไปคือ “Rollers”
ไอเดียง่ายๆ แต่ทรงพลังคือการใช้ลูกกลิ้งที่มี 4 ด้าน ซึ่งสามารถพิมพ์เขตเวลาได้ครบ และเมื่อหมุนเม็ดมะยม คุณสามารถเลือกได้ระหว่าง UTC, American Summer Time, European Summer Time และ European Winter Time นั่นทำให้เรามีนาฬิกาเวิลด์ไทม์เรือนแรกที่ “ตรงเวลา 100% ตลอดทั้งปี” ถึงแม้จะต้องเลื่อนการเปิดตัวออกไปถึง 13 เดือน แต่ด้วยความทุ่มเทของทีมงาน ทุกคนก็ทำมันสำเร็จ
ผมไม่ใช่ช่างทำนาฬิกา แต่ผมคิดและทำตัวเหมือนนักสะสม เพราะผมอยากมอบรายละเอียดใหม่ๆ ให้กับนักสะสมทุกวัน สิ่งเล็กๆ ที่ทำให้พวกเขามีรอยยิ้มเมื่อมอง ดู ปรับ ตั้ง หรือทำความสะอาดนาฬิกา และนั่นคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของเรายืนอยู่ได้ ผมมักพูดเสมอว่า
“เราต้องการสร้างบ้านที่เวลา ‘มีความหมาย’” แฟชั่นนั้นชั่วคราว แต่ประเพณีต่างหากที่คงอยู่”
Pascal Raffy ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Bovet
ความยากลำบากที่ต้องข้ามผ่าน
นอกจากการคิดค้นนวัตกรรมเชิงกลไกใหม่ๆ ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ในการบอกเวลา ชีวิตของผู้ผลิตนาฬิกาอิสระยังต้องเผชิญกับความยากลำบากและอุปสรรคที่ต้องก้าวผ่านพ้นไปให้ได้ และในบางครั้งสิ่งที่ต้องแลกเกือบต้องเป็น ‘ชีวิต’ ในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมาร่วมทศวรรษคุณเหว่ยขอให้คุณซาเวียร์เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาผ่านพ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ให้ผู้ชมได้ฟัง

“ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยากที่สุดในรอบ 10 ปีเลยก็ว่าได้ มันคือปีที่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เหมือนกับต้องสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมาจากบริษัทเดิม ตอนเปิดตัวแบรนด์ผมไม่มีอะไรจะเสียเลย เพราะตกงานมาก่อนแล้ว ซึ่งจริงๆ ก็นับเป็นข้อดี เพราะเมื่อคุณสูญเสียไปหมดแล้ว ก็ไม่มีใครมาพรากอะไรไปจากคุณได้อีก สิ่งเดียวที่ผมไม่เคยยอมเสียสละเลยคือครอบครัว ภรรยากับลูกๆ ทั้งห้าคน ภรรยาคืออาวุธลับของ Czapek เลยก็ว่าได้ เธอมีบทบาทสำคัญมากในการพาแบรนด์มาถึงวันนี้ แม้จะอยู่เงียบๆ ไม่ชอบเป็นที่สนใจก็ตาม
ช่วงโควิดก็เป็นวิกฤตใหญ่ แต่ผมมองเห็นโอกาส เพียงแต่กว่าจะมองเห็นต้องใช้เวลา แต่ตอนนั้นซัพพลายเออร์เกือบทั้งหมดหยุดผลิตหรือชะลอตัว ทำให้เราต้องทำงานหนักขึ้นสองเท่า เพราะบริษัทก็เหมือนร่างกายมนุษย์ หัวใจต้องเต้นต่อเนื่อง หยุดไม่ได้ ผมทำงานไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน จนสุดท้ายประสบอุบัติเหตุและเกือบเสียชีวิตไปจริงๆ แต่ก็เมือนได้รับ “ชีวิตที่สอง” กลับมา ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบเหมือนเดิม แต่ก็นับว่าเป็นพรอันยิ่งใหญ่
ช่วงที่ผมหายไปนั้นเอง ผมได้ค้นพบเพื่อนร่วมทีมสองคน Valeria และ Nicolas ที่เหมือนม้าศึกพร้อมจะวิ่งมาตลอด และพวกเขาก็พาบริษัทก้าวต่อไปได้อย่างยอดเยี่ยม ผมกลับมาอีกครั้งในงาน Watches & Wonders เพื่อร่วมผลักดันต่อไป ใช่ครับ เรามีช่วงเวลายากลำบากและท้าทายมากมาย แต่เรายังยืนอยู่ได้เพราะ “ความรักในนาฬิกา” ที่ทำให้เราสร้างสิ่งงดงามให้ผู้คนหลงรักได้ ไม่ว่าจะเพราะความสวย ความซับซ้อนของกลไก ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลัง หรือแม้แต่การแสวงหาความเป็นนิรันดร์ที่ garde-temps พูดถึงนั่นเอง”
ชีวิตที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งโลกแห่งความตายแล้วได้หวนคืนสู่งานและผู้คนที่รัก นั่นคือแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ คุณเหว่ยกล่าวชื่นชมเพื่อนร่วมวงการนาฬิกา พร้อมแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า รากฐานของการผลิตนาฬิกาสวิสอยู่ที่ “ความไม่ยอมแพ้”

“อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสเกิดขึ้นจากพวกฮูเกอโนต์ที่ถูกขับไล่ออกจากฝรั่งเศส พวกเขาไม่มีอะไรติดตัวเลย นอกจากความสามารถในการทำนาฬิกา และต้องข้ามภูเขาสวิสไปตั้งรกรากในที่ๆ ไม่มีใครอยากอยู่ เพราะสูงเกินไป หนาวเกินไป ทำการเกษตรได้ไม่กี่เดือนต่อปี ที่เหลือต้องเผชิญกับสภาพอากาศโหดร้าย แต่พวกเขาก็ใช้ความรู้ด้านการทำนาฬิกาสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่ และนี่แหละคือจิตวิญญาณแห่งความเข้มแข็งที่นิยามความเป็นอิสระของวงการนาฬิกามาจนถึงวันนี้ และแน่นอนเราได้ร่วมกันสร้าง Antarctique Revelation รุ่น Skeleton ที่มีการเคลือบสารเรืองแสงบนสะพานจักร เราเรียกมันว่า Spectrum แต่สำหรับผมแล้วมันคือ “สัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็ง” ทุกครั้งที่ผมสวมใส่ ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นเพื่อนกับคุณ”
ความรักและการดำเนินธุรกิจแบบครอบครัว
ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาที่นำเข้าแบรนด์นาฬิกาอิสระชั้นนำหลากหลายแบรนด์ด้วยกันคุณอง บัน แห่ง SHH Pendulum ที่เพิ่งฉลองวาระครบรอบ 70 ปีมาเมื่อไม่นานมานี้ moderator หลักของเรามอบหมายหน้าที่ให้เขาแสดงความเห็นต่อกระแสความนิยมในแบรนด์นาฬิกาอิสระที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งในฐานะนักสะสมและผู้คลุกคลีในวงการนาฬิกามาหลายทศวรรษเขาได้แสดงความเห็นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า พลังขับเคลื่อนนั้นไม่ใช่แค่กระแสแต่เป็นความหลงใหลอันแรงกล้าต่างหากที่ทำให้แบรนด์นาฬิกาอิสระเหล่านี้ตอบสนองความต้องการของนักสะสมที่หลอมรวมความรักในนาฬิกาเป็นส่วนเดียวกับชีวิต

“ผมรักนาฬิกามากๆ เลยอยู่ท่ามกลางคนที่รักนาฬิกาเหมือนกัน สำหรับผมแล้ว ปีหน้าก็จะครบ 30 ปีที่ผมอยู่ที่นี่ แต่จริงๆ พูดตรงๆ เลยว่าต่อให้ไม่ได้รับเงิน ผมก็คงทำสิ่งนี้อยู่ดีนะ เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนเราคือแพสชันจริงๆ เมื่อคุณมีแพสชัน โดยเฉพาะในสิ่งเล็กๆ อย่างนาฬิกาข้อมือ มันทำให้คุยกันได้ไม่รู้จบ โดยเฉพาะถ้าคุณชอบเรือนเวลา ทุกคนก็มีภาพนาฬิกาในฝันของตัวเอง และบางครั้งการแลกเปลี่ยนความคิดกันนี่แหละ ที่ทำให้เกิดนาฬิกาที่ “สมบูรณ์แบบ” ขึ้นมา”
ในฐานะ watch nerd ตัวยง คุณเหว่ยยอมรับว่า บทสนทนาใน Whatsapp ระหว่างเขาและคุณอง บันมีแต่เรื่องนาฬิกาล้วนๆ ความหลงใหลอันแรงกล้านี่เองที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ความนิยมในนาฬิกาอิสระที่เต็มไปด้วยความล้ำเลิศในงานช่างฝีมือและนวัตกรรมเติบโตได้อย่าง ‘ออร์แกนิก’ และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นกำลังใจให้กับเหล่าผู้ขับเคลื่อนวงการนาฬิกาอิสระก็คือ ‘ครอบครัว’ คุณราฟฟี่แห่งเมซง Bovet เห็นด้วยกับปัจจัยนี้อย่างยิ่ง
“ครอบครัวเป็นแรงบันดาลใจแรกเสมอครับ หลายคนอาจคิดว่าสัญชาตญาณแรกของมนุษย์คือการเอาตัวรอด แต่จริงๆ มันคือ ครอบครัว ต่างหาก ผมต้องขอบคุณภรรยาและลูกๆ อย่างสุดซึ้ง ที่ยอมอดทนอยู่โดยแทบไม่เจอหน้าผมถึงสามปีเต็ม ระหว่างที่ผมไปสร้างโรงงานบนภูเขา เพื่อสร้างจิตวิญญาณและปรัชญาของ Bovet ขึ้นมาใหม่
การขอบคุณพวกเขาวิธีหนึ่งคือการตั้งชื่อนาฬิกาตามลูกๆ ครับ เช่น Miss Audrey เพื่อลูกสาวคนโต, Miss Alexandra สำหรับลูกสาวอีกคน และ Amadeo system ที่ใช้เวลาพัฒนาถึง 7 ปี สามารถแปลงจากนาฬิกาข้อมือเป็นตั้งโต๊ะหรือพกพาได้ ก็เพื่อเป็นเกียรติให้ลูกชายผมมันคือวิธีที่ผมขอบคุณครอบครัวครับ เพราะความหลงใหลของเราบางครั้งก็ล้นจนกลายเป็นสิ่งที่เกินเหตุผลไปแล้ว และนั่นยิ่งทำให้ต้องขอบคุณครอบครัวมากขึ้น เพราะจริงๆ แล้ว “ความหรูหราที่แท้จริงที่สุด” ก็คือเวลา เวลาที่ได้ใช้กับภรรยาและลูกๆ ครอบครัวคือทรัพย์สมบัติแรกและสำคัญที่สุดของผม ผมไม่เคยพูดว่ามี ‘พนักงาน’ แต่บอกเสมอว่ามี ‘ครอบครัวที่ขยายออกไป’ ผ่านช่างฝีมือ และเมื่อนำสองสิ่งนี้มาผสมกัน มันถึงสร้างผลงานที่งดงามได้”
ส่วนคุณซาเวียร์ก็ยังเชื่อมั่นในการบริหารธุรกิจแบบครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด ถึงแม้ทุกวันนี้เมซง Czapek & Cie จะเติบโตขึ้นทุกวันก็ตามที
“ถึงแม้รูปแบบของเราจะแตกต่างออกไป เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาจากการระดมทุนแบบ equity crowdfunding ตั้งแต่มีผู้ถือหุ้นแค่ 90, 120 จนตอนนี้กลายเป็น 250 คนแล้ว ซึ่งมันทำให้เราเหมือนบริษัทมหาชน แต่เราไม่อยากเข้าตลาดหลักทรัพย์จริงๆ เพราะเราไม่เชื่อว่าผลประกอบการรายไตรมาสคือคำจำกัดความของ “ความสำเร็จ” ความสำเร็จสำหรับเราคือสิ่งอื่น และเราไม่อยากตกเป็นทาสของตัวเลขเหล่านั้น เราเลยเดินไปสุดทางด้วยการเปิดโอกาสให้พนักงานที่ทำงานเกิน 50% และมีผลประเมินที่ดี ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นด้วยจริงๆ กลายเป็นครอบครัวในเชิงปฏิบัติ และนี่ก็เป็นโมเดลแบบที่ Microsoft หรือ Nvidia เคยทำ แต่ของเราต่างกันตรงที่เราเล็กกว่า และอยากรักษาความเล็กนี้ไว้”

“คุณคิดว่าความเป็น “ธุรกิจครอบครัว” มีส่วนสำคัญอย่างไรต่อการสร้างสิ่งที่ยั่งยืนในระยะยาว?” moderator ผู้ให้ความสำคัญกับครอบครัวที่ประกอบไปด้วยเขา ภรรยา และสุนัขดัชชุนที่รักสองตัวตั้งคำถามให้คุณอง บัน ได้แสดงความเห็นในฐานะนักสะสมผู้ดำเนินธุรกิจนาฬิกามาเป็นเวลายาวนาน และตั้งใจว่าจะส่งต่อธุรกิจที่เขารักด้วยใจจริงสู่เจเนอเรชันถัดไป
“ผมคิดว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุด หลังจากผ่านการทำงานภายใต้เจ้าของหลากหลายรูปแบบมา ก็คือการได้อยู่กับ ‘เจ้าของที่ลงมือทำเอง’ (owner-operator) เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่การันตีความยั่งยืนครับ เวลาคุณเป็นเจ้าของบริษัทเอง เวลาจะตัดสินใจอะไร คุณจะคิดถึงผลลัพธ์ในระยะยาวก่อนผลตอบแทนทางการเงินเสมอ แตกต่างจากบริษัทที่มีนักลงทุนหรือบริษัทลงทุนเป็นเจ้าของ
อีกทั้งในวงการนาฬิกา ธุรกิจครอบครัวถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ และนั่นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้อย่างมหาศาล ยกตัวอย่างง่ายๆ คือวันก่อนเราเจอนักสะสมคนหนึ่งที่ซื้อจากเรามาหลายรุ่นแล้ว และเขาบอกว่าได้ซื้อจาก 3 เจเนอเรชันต่อเนื่องกันทั้งจากคุณปู่ของเคท, คุณพ่อของเคท และล่าสุดก็ซื้อจากเคทเอง นี่แหละคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ว่าธุรกิจครอบครัวในวงการนาฬิกามันงดงามและทรงพลังแค่ไหนครับ”
และสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ช่วยผลักดันและหล่อเลี้ยงให้ศิลปินผู้ปลุกปั้นแบรนด์นาฬิกาอิสระสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่สูญเสียตัวตน ซึ่งเมื่อถามถึงวิสัยทัศน์ในอนาคตของแบรนด์ที่ซื่อสัตย์ในตัวตน คุณซาเวียร์แห่ง Czapek & Cie ก็ยังคงมั่นคงในคำตอบที่เขาให้ไว้ตั้งแต่ต้นการเสวนา
“เราทุกคนต่างก็สวมผลผลิตจากอดีตไว้กับตัว และในฐานะมนุษย์ เรามักจะลืมไปว่า ทุกวันคือโอกาสในการสร้างอนาคต วันพรุ่งนี้เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ และนี่ก็เป็นหนึ่งในเวทีเสวนาที่ดีที่สุดที่ผมเคยมี ต้องขอชื่นชมจริงๆ เพราะผมได้แชร์หลายสิ่งที่ไม่คิดว่าจะพูดออกมา ความซื่อตรงนี่แหละคือหนทางที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่า
เราจะเดินต่อไปบนเส้นทางนั้น โดยหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไม่ว่าจะจากการวิจัย วัสดุสมัยใหม่ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่บรรพบุรุษของเราเคยมองหา บางทีเมื่อก่อนพวกเขาอาจยังไม่มีโลหะผสมที่เหมาะสม แต่วันนี้เรามีแล้ว และผมคิดว่านี่คือสิ่งที่คนรุ่น Gen Z อยากเห็นจากเรา ไม่ใช่การปฏิวัติสิ่งที่เราทำมา เช่น ปฏิทินถาวรก็จะยังคงเป็นปฏิทินถาวร หรือ โครโนกราฟจับเวลาเสี้ยววินาที และ มินิตรีพีทเตอร์ ก็จะยังเป็นแบบนั้น แต่ยังมีพื้นที่ให้เราตีความใหม่ และแสดงออกถึงงานฝีมือในวิธีที่ทันสมัยได้เสมอ และนั่นคือหน้าที่ของเราหน้าที่ที่จะส่งต่อให้ลูกๆ และคนรุ่นต่อไป เพื่อให้นักสะสมนาฬิการุ่นใหม่ได้เห็นว่า งานฝีมืออายุ 400 ปีนี้สามารถถูกทำให้ “ร่วมสมัย” ได้โดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการซื่อตรงต่อตัวเอง อย่าทรยศต่อแก่นแท้ นั่นคือหัวใจครับ”
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ :
BOVET 200 ปีแห่งปรัชญาที่ศิลปะและกลไกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
Recap 3: เปิดมุมมองแบรนด์อิสระ Bovet และ Czapek & Cie กับความท้าทายในโลกเรือนเวลา