ระบบไขลานอัตโนมัติ เรื่องราวความมหัศจรรย์ทางกลไกที่มักถูกมองข้ามเบื้องหลังนาฬิกาอัตโนมัติ
WORDS: Ashton Tracy | May 29, 2025
แปลและเรียบเรียงโดย Chakhriya. S
นาฬิการะบบไขลานอัตโนมัติเป็นสิ่งที่เรา (ส่วนใหญ่) มองข้ามไปในปัจจุบัน แม้จะไม่มีการรวบรวมตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่หากให้ทาย ผู้เขียนมั่นใจว่ายอดขายนาฬิกาอัตโนมัตินั้นมีมากกว่านาฬิกาไขลานด้วยมืออย่างมาก สิ่งที่น่าสนใจคือกลไกการไขลานอัตโนมัติ ซึ่งประกอบด้วยชุดเฟือง (wheel train) สะพานจักร (bridges) และโรเตอร์ไขลานอัตโนมัติ (self-winding rotor) ไม่ได้จัดอยู่ในคำจำกัดความของ “กลไกซับซ้อน” (complication) ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ซึ่งหมายถึงฟังก์ชันใด ๆ นอกเหนือจากการแสดงชั่วโมง นาที และวินาที อย่างไรก็ตาม กลไกนี้ก็ยังคงถูกนับเป็นกลไกซับซ้อนชนิดหนึ่ง ทูร์บิญอง (tourbillon) เป็นอีกหนึ่งกลไกซับซ้อนที่อยู่นอกเหนือจากพารามิเตอร์ที่กำหนดไว้เหล่านี้ ด้วยความที่นาฬิกาส่วนใหญ่เป็นแบบไขลานอัตโนมัติ เราจึงไม่ค่อยได้หยุดคิดว่าการไขลานด้วยตัวเองนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ความมหัศจรรย์ของระบบอัตโนมัติ
การที่นาฬิกาจะทำงานได้นั้นต้องอาศัยพลังงาน ซึ่งพลังงานนี้มาจากคุณ ผู้สวมใส่ เมื่อคุณไขเม็ดมะยมของนาฬิกาไขลานด้วยมือ คุณจะถ่ายเทพลังงานจากคุณเข้าไปโดยการขดสปริงลาน (mainspring) ให้แน่นรอบส่วนประกอบที่เรียกว่าแกนตลับลาน (barrel arbor) เมื่อสปริงถูกขดจนตึง มันก็จะพยายามคลายตัวออก พลังงานนี้จะถูกส่งผ่านชุดเฟืองและทำให้นาฬิกาเริ่มเดินไปได้
นาฬิกาไขลานอัตโนมัติก็ทำแบบเดียวกัน แต่มีทางเลือกในการรับพลังงานที่แตกต่างออกไป นั่นคือการใช้ตุ้มน้ำหนักที่หมุนได้อย่างอิสระภายในนาฬิกาที่เรียกว่า โรเตอร์ไขลานอัตโนมัติ (self-winding rotor)

แล้วโรเตอร์ไขลานอัตโนมัติทำหน้าที่ของมันได้อย่างไร? ขณะที่ผู้สวมใส่ขยับแขนไปมาตลอดทั้งวัน โรเตอร์ไขลานอัตโนมัติก็จะหมุนเหมือนม้าหมุนในงานวัด การหมุนนี้เกิดขึ้นด้วยแรงโน้มถ่วงและแรงเฉื่อยของตัวมันเอง ขณะที่มันหมุน กลไกอัตโนมัติก็จะขดสปริงลานให้แน่นขึ้นเล็กน้อยในทุก ๆ การหมุนของโรเตอร์ ทำให้ไขลานนาฬิกาและสามารถเดินต่อไปได้โดยไม่ต้องใช้เม็ดมะยม
**แรงเฉื่อยในภาษานาฬิกา คืออะไร? แรงเฉื่อยในนาฬิกา คือ “สมบัติของบาลานซ์วีลที่ต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเร็วในการหมุน” หรือพูดง่ายๆ ว่า ช่วยให้นาฬิกาคงจังหวะการเดินของเวลาได้แม่นยำ
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือกลไกนาฬิกาอัตโนมัติส่วนใหญ่สามารถไขลานด้วยมือได้เช่นกัน และควรทำหากพลังงานสำรองหมดลงโดยสิ้นเชิง กลไกการไขลานอัตโนมัติของนาฬิกาส่วนใหญ่เป็นเพียงการรักษาพลังงาน (maintaining power) ซึ่งจำเป็นต้องมีการเริ่มต้นเล็กน้อยเพื่อให้มันเริ่มทำงานได้ ส่วนประกอบพื้นฐานของกลไกนาฬิกาไขลานด้วยมือและแบบอัตโนมัตินั้นมีโครงสร้างคล้ายกัน โดยมีความแตกต่างที่สำคัญเพียงไม่กี่จุด ตลับลาน (barrel) และ สปริงลาน (mainspring)
สปริงลาน (The Mainspring)
คุณเคยได้ยินใครพูดว่า “ฉันไขนาฬิกาจนลานขาด” หรือไม่? จริง ๆ แล้วพวกเขาน่าจะไม่ได้ทำอย่างนั้น โดยเฉพาะถ้าเป็นนาฬิกาอัตโนมัติ เหตุผลคือ นาฬิกาไขลานด้วยมือเมื่อไขจนสุดแล้วจะถึงจุดหยุดที่แน่นอน สปริงลานได้ถูกขดจนถึงจุดตึงสูงสุดแล้ว และคุณจะไม่สามารถหมุนเม็ดมะยมต่อไปได้อีก ในทางเทคนิคแล้ว สปริงลานอาจจะขาดได้ถ้าคุณใช้แรงมากจริง ๆ แต่คุณต้องมีแขนที่แข็งแรงมาก และเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ยาก
อย่างไรก็ตาม นาฬิกาไขลานอัตโนมัติสามารถไขลานได้ไม่จำกัดโดยที่สปริงไม่ขาด เหตุผลก็คือสปริงลานของนาฬิกาอัตโนมัติสมัยใหม่มีปลายที่มีรูปร่างแตกต่างจากสปริงลานแบบไขลานด้วยมือ การออกแบบนี้ประกอบด้วย ‘กลไกสลิปปิ้งบริเดิล (slipping bridle)’ ซึ่งปลายด้านนอกของสปริงลานมีส่วนเพิ่มเติมที่กางออกในทิศทางตรงกันข้าม
ตลับลาน (The Mainspring Barrel)
ตลับลานของนาฬิกาอัตโนมัติและแบบไขลานด้วยมือดูเหมือนกันจากภายนอก แต่ความแตกต่างอยู่ที่ภายใน ตลับลานทั้งสองแบบมีสปริงลานขดแน่นอยู่ภายในเพื่อเป็นพลังงานขับเคลื่อนนาฬิกาขณะที่มันค่อย ๆ คลายตัวออก ตลับลานของนาฬิกาไขลานด้วยมือจะมีตะขอ (hook) อยู่ที่ผนังด้านนอกเพื่อยึดสปริงลานไว้ ป้องกันไม่ให้มันถูกไขต่อไปอีกเมื่อถึงจุดตึงสูงสุด
ในทางตรงกันข้าม สปริงลานของนาฬิกาอัตโนมัติจะมีส่วนปลายที่กางออกซึ่งได้กล่าวไปข้างต้น มันจะถูกขดกลับเข้าหาตัวมันเองเมื่อถูกติดตั้งอยู่ภายในตลับลาน สิ่งนี้ทำให้สปริงมีการยึดเกาะที่แข็งแรงกับผนังตลับลาน หมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีตะขอหรือจุดยึดใด ๆ แรงยึดเกาะนี้ทำให้สปริงถูกไขจนถึงจุดตึงสูงสุดได้ หากมีการไขพลังงานเพิ่มเติมเข้าไปในสปริงลาน บริเดิลจะสูญเสียการยึดเกาะและสปริงจะลื่นไปตามผนังตลับลานจนกระทั่งแรงกลับมาสมดุลและมีการยึดเกาะอีกครั้ง

ด้วยส่วนประกอบทั้งสองนี้ที่ทำงานร่วมกัน ทำให้นาฬิกาสามารถไขลานได้อย่างไม่มีขีดจำกัดโดยไม่เกิดความเสียหาย
นาฬิกาอัตโนมัติสมัยใหม่ ในช่วงเวลาแห่งการก่อร่างสร้างตัว
นาฬิกาข้อมือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อผู้คนตระหนักถึงเสน่ห์และประโยชน์ใช้สอยของนาฬิกาที่ไม่จำเป็นต้องพกใส่กระเป๋าอีกต่อไป หลังจาก Rolex ได้ส่งนาฬิกาข้อมือไปทดสอบที่ Kew Observatory และเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนแรกที่ได้รับใบรับรองความเที่ยงตรงระดับ Class A ความกังวลเรื่องความแม่นยำก็หมดไปและความต้องการของตลาดก็เพิ่มขึ้น ภายในช่วงทศวรรษที่ 1930 ยอดขายนาฬิกาข้อมือแซงหน้า pocket watch และยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรก นาฬิกาข้อมือเป็นแบบไขลานด้วยมือเท่านั้น แต่สิ่งนี้กำลังจะเปลี่ยนไป
ชาวอังกฤษ (The Englishman)
นาฬิกาอัตโนมัติสมัยใหม่เปิดตัวสู่สาธารณะครั้งแรกในงาน Basel Fair ปี 1926 ด้วยการเปิดตัวนาฬิกา Harwood John Harwood ช่างทำนาฬิกาชาวอังกฤษ ได้ร่วมมือกับ Fortis เพื่อผลิตกลไกใหม่นี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อระบบไขลานอัตโนมัติแบบ ‘กันกระแทก (bumper)’ ที่ต่อมาได้รับความนิยมจาก Omega
Harwood ไม่ใช่คนแรกที่สร้างนาฬิกาไขลานด้วยตัวเอง เพราะมี Perellet, Breguet และคนอื่น ๆ ได้ทดลองกับกลไกดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปี 1700 แต่ Harwood เป็นคนแรกที่ผลิตและนำนาฬิกาข้อมือระบบไขลานอัตโนมัติออกสู่ตลาดในวงกว้าง

กลไกอัตโนมัติของ Harwood ไม่ได้มีโรเตอร์ที่หมุนครบรอบแบบนาฬิกาไขลานอัตโนมัติสมัยใหม่ แต่มีตุ้มน้ำหนักที่จำกัดการเคลื่อนที่ในแนวโค้งประมาณ 130 องศา นอกจากนี้ยังไขลานนาฬิกาเมื่อเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อการเคลื่อนที่ของตุ้มน้ำหนักนี้ไปถึงขีดจำกัด บัฟเฟอร์ที่ติดตั้งสปริงภายในจะทำให้มัน ‘กระแทก (bump)’ กลับมา เหมือนกับการที่เราเล่นรถบั๊มตอนเด็ก
น่าเสียดายที่บริษัทของ Harwood อยู่ได้เพียงไม่กี่ปีก่อนจะล้มละลาย แล้วดาวรุ่งหน้าใหม่อย่าง Rolex ก็เข้ามาแทนที่
Oyster Perpetual
ในปี 1931 หลังจากความสำเร็จของตัวเรือน Oyster เรือนแรกที่ป้องกันความชื้นและฝุ่น Rolex ได้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเปิดตัว Oyster Perpetual กลไก Caliber 620 มีกลไกอัตโนมัติที่แตกต่างจากของ Harwood โดยโรเตอร์ไขลานอัตโนมัติที่อยู่ตรงกลางสามารถหมุนได้เต็มรอบโดยไม่มีการหยุด กลไกนี้ใช้ชุดเฟืองที่หนาและซับซ้อนซึ่งวางอยู่ด้านบนของตลับลานเพื่อถ่ายเทพลังงานจากโรเตอร์ไปยังสปริงลาน เช่นเดียวกับของ Harwood กลไก Rolex ยุคแรกไขลานนาฬิกาในทิศทางเดียวเท่านั้น

ไขลานได้ทั้งสองทาง (Winding Whichever Way)
นาฬิกาอัตโนมัติสมัยใหม่ส่วนใหญ่ไขลานได้ทั้งสองทิศทาง พวกมันทำสิ่งนี้ได้ด้วยสิ่งที่อาจดูเหมือนเป็นศิลปะลึกลับ ผ่านกลไกมหัศจรรย์ที่เรียกว่า ‘ตัวกลับทิศ (reverser)’ ขณะที่โรเตอร์หมุนไป ตัวกลับทิศจะทำให้สปริงลานถูกไขลานไม่ว่าโรเตอร์จะหมุนไปในทิศทางใดก็ตาม การทำงานนี้สามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่พบบ่อยที่สุดคือการใช้ ชุดเฟืองและปีกนก (wheel-and-pinion coupling) และคันกระเดื่องสปริง (pawl lever)
เฟืองและปีกนก (Wheel and Pinion Coupling)
ในปี 1950 Rolex ได้เปิดตัวกลไก Caliber 1030 ซึ่งมีโรเตอร์ติดตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมระบบไขลานอัตโนมัติที่ได้รับการปรับปรุง แทนที่จะใช้ชุดเฟืองที่ซับซ้อนอยู่ด้านบนของล้อจักรกรอก (ratchet wheel) Rolex ได้นำระบบเฟืองและปีกนกสองชั้น (double wheel-and-pinion coupling) มาใช้ในกลไกอัตโนมัติของมัน Rolex เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า reversing wheels

คุณน่าจะเคยเห็น ‘ล้อสีแดง’ อันโด่งดังของ Rolex ซึ่งถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1952 และยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เราจะใช้ระบบเฟืองและ reversing wheel ของ Rolex ในยุคปัจจุบันเพื่ออธิบายว่าสิ่งเหล่านี้ทำงานอย่างไร โดยขอให้ทราบว่าการออกแบบอาจแตกต่างกันไปในกลไกนาฬิกาอื่น ๆ
ระบบเฟืองและปีกนกประกอบด้วยสามส่วนหลักคือ ล้อ (wheel) ซึ่งมีฟันอยู่ด้านนอก pinion ซึ่งมีฟันสองชุด และสปริงยึด (pawls) ซึ่งมีตะขออยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง เมื่อรวมกันแล้วส่วนประกอบเหล่านี้จะสร้าง reversing wheel

ด้วยการจัดเรียงระบบเฟืองและปีกนกเป็นชุด Rolex สามารถไขลานได้ทั้งสองทิศทาง ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในยุคนั้น
โรเตอร์มีปีกนกที่มีฟันติดอยู่ ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน ปีกนกนี้จะขบกับฟันของล้อแรกของระบบเฟืองและปีกนก ซึ่งจะขบกับล้อที่สองอีกทอดหนึ่ง เมื่อโรเตอร์หมุน ล้อเหล่านี้จะถูกบังคับให้เคลื่อนที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อล้อสองล้อที่เคลื่อนที่อยู่ติดกัน มันจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งเป็นปัญหาเพราะสปริงลานสามารถไขได้ในทิศทางเดียวเท่านั้น นี่คือจุดที่ปีกนกเข้ามามีบทบาท
เมื่อโรเตอร์เคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง ปีกนกภายในล้อแรกจะถูกล็อกโดยสปริงยึดและถูกบังคับให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับล้อของมัน สิ่งนี้ทำให้ปีกนกหมุนล้อเสริม (auxiliary wheel) ซึ่งจะไขสปริงลาน ส่วนปีกนกภายในล้อกลับทิศหมายเลขสองจะไม่ถูกล็อก และล้อกับปีกนกจะเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการไขลาน เนื่องจากตะขอของสปริงยึดจะเลื่อนผ่านฟันไปเรื่อย ๆ รอให้ถึงตาของมันที่จะเข้าทำงาน เมื่อโรเตอร์เปลี่ยนทิศทาง ระบบเฟืองและปีกนกอีกชุดก็จะเข้าทำงาน ผลลัพธ์ที่ได้คือสปริงลานจะถูกไขลานไม่ว่าโรเตอร์จะหมุนไปในทิศทางใด
ที่น่าสังเกตคือกลไกอัตโนมัติบางชนิดได้รวมระบบเฟืองและปีกนกที่ซ้อนกันไว้ในล้อเดียว ทำให้สามารถไขลานได้สองทิศทาง
ระบบเฟืองและปีกนกเป็นระบบที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นรูปแบบหลักที่ใช้กันในปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่ได้ไร้ข้อบกพร่อง ระบบเหล่านี้มีความซับซ้อน และข้อกำหนดสำหรับล้อเหล่านี้ก็เข้มงวด เนื่องจากมันทำงานหนัก การหล่อลื่นอย่างละเอียดก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานที่เหมาะสม
คันกระเดื่องสปริง (The Pawl Lever)
ระบบคันกระเดื่องสปริงสำหรับการไขลานอัตโนมัตินั้นเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ มันใช้โรเตอร์ไขลานอัตโนมัติที่ติดตั้งอยู่ตรงกลาง แต่มีชุดเฟืองที่เล็กกว่าระบบเฟืองและปีกนกมาก มันสามารถทำงานได้ด้วยล้อเพียงตัวเดียว—ล้อไขลาน (winding wheel) โดยอาศัยความมหัศจรรย์ของคันกระเดื่องสปริง
โดยพื้นฐานแล้ว คันกระเดื่องสปริงมี ‘แขน’ สองข้างที่มีตะขออยู่ที่ปลาย ซึ่งใช้เพื่อ ‘ดัน’ หรือ ‘ดึง’ ฟันของล้อไขลาน ทำให้มันหมุนและไขสปริงลาน
Pellaton ของ IWC
IWC เป็นแบรนด์แรกที่นำคันกระเดื่องสปริงมาใช้ในปี 1950 หลังจากที่ Albert Pellaton ผู้อำนวยการด้านเทคนิคของ IWC ในขณะนั้น ได้ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาระบบนี้ ที่ใจกลางของโรเตอร์ไขลานอัตโนมัติมี ลูกเบี้ยวรูปหัวใจ (heart-shaped cam) (1) ที่ติดตั้งอยู่กับที่ คันกระเดื่องสปริง (2) คร่อมลูกเบี้ยวรูปหัวใจนี้ และเมื่อโรเตอร์หมุน ความเยื้องศูนย์กลางของลูกเบี้ยวจะบังคับให้แขนของสปริงยึด (pawl arms) (3) โยกไปมา

เมื่อโรเตอร์หมุนตามเข็มนาฬิกา ตะขอที่ปลายแขนหมายเลขหนึ่งจะ ‘จับ’ ฟันและดึงล้อไขลาน (4) กลับมา ในขณะที่ปลายแขนหมายเลขสองจะเลื่อนผ่านฟันไปโดยไม่มีส่วนช่วยในการหมุนของล้อ เมื่อโรเตอร์หมุนทวนเข็มนาฬิกา แขนทั้งสองก็จะสลับบทบาทกัน ในทุก ๆ การดึงฟันหนึ่งครั้ง สปริงลานจะถูกไขให้แน่นขึ้นเล็กน้อย

‘Magic’ ของ Seiko
Seiko เปิดตัวกลไกอัตโนมัติเรือนแรกในปี 1956 แต่ปี 1959 เป็นปีแห่งการปฏิวัติระบบอัตโนมัติ ในปีนั้น Seiko ได้เปิดตัว Gyro Marvel ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่มีระบบ Magic Lever Magic Lever เป็นคันกระเดื่องสปริงที่อิงจากการไขลานแบบ Pellaton ของ IWC แต่โดดเด่นด้วยความเรียบง่าย Seiko ทำให้คันกระเดื่องสปริงง่ายขึ้นไปอีกโดยวางไว้บนโรเตอร์โดยตรง มีโครงสร้างคล้ายกับกระดูกงู (wishbone) โดยจะติดกับหมุดเยื้องศูนย์กลาง (offset pin) ที่ใจกลางของโรเตอร์ เมื่อโรเตอร์หมุน แขนของคันกระเดื่องสปริงจะโยกไปมา

เมื่อโรเตอร์เคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง แขนข้างหนึ่งจะดึงล้อไขลาน (winding wheel) กลับมา เหมือนกับในระบบ Pellaton ในขณะที่ปลายแขนอีกข้างจะเลื่อนผ่านฟันไป ความแตกต่างที่สำคัญคือ เมื่อโรเตอร์เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม แขนอีกข้างจะดันล้อไขลานไปข้างหน้า แทนที่จะดึงกลับ ทำให้ระบบง่ายขึ้นมาก ด้วยส่วนประกอบเพียงสามชิ้น นาฬิกาก็สามารถไขลานอัตโนมัติได้ เป็นความมหัศจรรย์อย่างแท้จริง
ระบบนี้เรียบง่ายอย่างสง่างามและมีจุดที่อาจเกิดความเสียหายได้น้อยมาก จริง ๆ แล้วมันมีประสิทธิภาพสูงมากจน Seiko ได้ตัดคุณสมบัติการไขลานด้วยมือออกจากนาฬิกาหลายรุ่น โดยใช้กลไกอัตโนมัติเป็นวิธีการทำงานเพียงอย่างเดียว เพราะการเขย่าเพียงหนึ่งนาทีก็เพียงพอที่จะทำให้นาฬิกาพร้อมใช้งาน
ไขลานทางเดียว (One Way Winding)
เป็นเรื่องง่ายที่จะคิดว่าการไขลานแบบ สองทิศทาง (bidirectional) นั้นดีกว่าการไขลานแบบ ทางเดียว (unidirectional) มาก แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป มีการทดสอบมากมายเกี่ยวกับการไขลานทางเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อดีของมัน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าในนาฬิกาที่สวมใส่เป็นประจำ สปริงลานมักจะถูกไขจนเต็ม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าการไขลานทางเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้นาฬิกาเดินได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า “มาก” ไม่ได้หมายความว่า “ดีกว่า” เสมอไป
ตัวอย่างเช่น กลไก ETA 7750 ใช้ชุดเฟืองและปีกนกเพียงชุดเดียวและไขลานในทิศทางเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยพบเจ้าของนาฬิกาที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกนี้คนไหนที่บ่นว่าต้องไขลานด้วยมือเพื่อให้มันเดินต่อไปได้เลย

The Heavy Weight Champion
โรเตอร์ไขลานอัตโนมัติมักทำจากโลหะหนัก โดยมีการใช้ทองเหลือง ทองคำ แพลตตินัม และทังสเตนคาร์ไบด์ รูปแบบที่พบมากที่สุดในปัจจุบันคือโรเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ตรงกลางซึ่งมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของกลไก แม้ว่าจะมีการออกแบบอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
The Eccentric Self-Winding Weight
ตุ้มน้ำหนักไขลานอัตโนมัติแบบเยื้องศูนย์กลางมีขนาดเล็กและติดตั้ง เยื้องศูนย์กลาง (offset) ซึ่งต่างจากโรเตอร์แบบครึ่งกลไก การออกแบบนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ไมโครโรเตอร์ (micro-rotor) ซึ่งถูกใช้ในนาฬิกาของ Universal Genève, Patek Philippe และ Heuer ในกลไก Calibres 11 และ 12


โรเตอร์ชนิดนี้มีขนาดกะทัดรัด โดยปกติจะมีขนาดน้อยกว่าหนึ่งในสี่ของขนาดกลไก โลหะที่ใช้มักจะหนักกว่าทองเหลือง เนื่องจากขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับโรเตอร์แบบครึ่งกลไก ทำให้จำเป็นต้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพื่ออาศัยแรงโน้มถ่วงและแรงเฉื่อยในการไขลาน
ด้วยความหนาแน่นของโลหะที่ใช้ ไมโครโรเตอร์ จึงเป็นกลไกไขลานอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพสูง ข้อได้เปรียบหลักคือช่วยให้กลไกบางลงได้ เพราะไม่จำเป็นต้องมีชุดกลไกอัตโนมัติขนาดใหญ่อยู่ด้านบน

ระบบโรเตอร์ไขลานแบบรอบขอบ (Peripheral Vision)
โรเตอร์ไขลานอัตโนมัติแบบ รอบขอบ (peripheral) จะอยู่ตามขอบด้านนอกของกลไกนาฬิกา เช่นเดียวกับการออกแบบอื่น ๆ มวลที่หนักถูกใช้เพื่อไขลานสปริง แต่ในกรณีนี้จะล้อมรอบขอบด้านนอกของกลไกทั้งหมด ทำให้คุณสามารถมองเห็นกลไกทั้งเรือนได้อย่างชัดเจน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Carl F. Bucherer เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ ก็ได้ทดลองใช้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่คิดว่ามันจะถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในอนาคต แม้ว่าความสามารถในการมองเห็นกลไกทั้งหมดจะเป็นคุณสมบัติที่ดึงดูดใจ แต่ประโยชน์ของมันก็ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่ากับความซับซ้อนของการออกแบบ



โรเตอร์แบบลูกปืน (Ball Bearing) หรือแบบแกนหมุน (Axle)
เนื่องจากโรเตอร์ไขลานอัตโนมัติมีน้ำหนักมาก การสึกหรอจึงอาจเกิดขึ้นได้ สองวิธีหลักที่ช่วยให้โรเตอร์หมุนได้อย่างอิสระคือ ลูกปืน (ball bearings) และ แกนหมุน (axle) ทั้งสองวิธีนี้เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ เดิมทีลูกปืนทำจากเหล็ก แต่ปัจจุบันบางแบรนด์ได้ทดลองใช้เซรามิกแล้ว


ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าชอบแกนหมุนมากกว่าระบบลูกปืน แต่ความคิดเห็นได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่ได้สังเกตโรเตอร์แบบลูกปืนจำนวนมากขึ้น ผู้เขียนก็ตระหนักว่าพวกมันทนทานต่อการใช้งานมานานหลายปีได้ดีกว่าระบบที่ใช้แกนหมุน
ความคิดเห็นสุดท้าย
การตัดสินว่าระบบใดเหนือกว่าอีกระบบหนึ่งนั้นเป็นเรื่องยาก แต่หลังจากได้เห็นจากการทำงานกับระบบอัตโนมัติต่าง ๆ แล้ว พบว่าแต่ละระบบมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ระบบ Seiko Magic Lever ที่รวมเข้ากับโรเตอร์ไขลานอัตโนมัติแบบลูกปืน ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นส่วนผสมที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพมานานหลายทศวรรษ
ระบบเฟืองและปีกนกยังคงเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรม โดยมีหลายแบรนด์นำไปใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งบางแบรนด์ก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ อย่าง Rolex สมควรได้รับการยอมรับในจุดนี้ เนื่องจาก reversing wheels ของพวกเขามีความทนทานอย่างน่าทึ่ง ไม่ค่อยพบปัญหา และทนทานต่อการใช้งานมาหลายปีได้ดีกว่าแบบอื่น ๆ
ในแง่หนึ่ง เราได้ก้าวไปไกลมากนับตั้งแต่นาฬิกาอัตโนมัติสมัยใหม่เรือนแรกเปิดตัวที่งาน Basel Fair ในปี 1926 แต่ในอีกแง่หนึ่ง เราก็ไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น ระบบอัตโนมัติยังคงเหมือนเดิมเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงแก่นแท้ของศิลปะการประดิษฐ์นาฬิกา สำหรับผู้เขียนแล้ว นั่นคือที่มาของความมหัศจรรย์แห่งโลกของนาฬิกา เราเป็นเพียงแค่การปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ใช่การคิดค้นขึ้นใหม่ เพราะบรรพบุรุษของเราได้สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่น่าทึ่งไว้แล้ว
อ่านบทความอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่:
จากกลไกแรร์ไอเทมสู่สปอตไลต์วงการนาฬิกา Tourbillon
“Gear Design ฟันเฟืองเวลา กลไกแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์เบื้องหลังการบอกเวลา”
Audemars Piguet Royal Oak Perpetual Calendar ความงามและความซับซ้อนที่ยากจะลืมเลือน

