รวมนาฬิกา tourbillon จากหลากแบรนด์ในปี 2025

Date:

สุดยอดกลไกที่เชื่อถือได้ในความเที่ยงตรงจากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำที่น่าจับตามองในปีนี้

ความเที่ยงตรงของนาฬิกาข้อมือที่เราใช้ในยุคปัจจุบันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลของแรงโน้มถ่วงเหมือนนาฬิกาพกในสมัยอดีต แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหลงใหลที่มีต่อคอมพลิเคชันที่เรียกว่า tourbillon ลดน้อยลงเลย ดูจากตัวอย่างผลงานที่แบรนด์ต่างๆ นำเสนอในปีนี้ นั่นเป็นเพราะทูร์บิญองได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นนาฬิกาชั้นสูง แถมยังเป็นเหมือนแคนวาสให้แบรนด์นาฬิกาชั้นนำต่างๆ ได้ประลองความคิดสร้างสรรค์ด้วย 

‘ทูร์บิญอง’ เป็นชื่อภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงการหมุนวนเหมือน
วงโคจร คอมพลิเคชันอันน่าอัศจรรย์นี้ถือกำเนิดโดยชายผู้มีนามว่า  
อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ (Abraham-Louis Breguet) ชายชาวฝรั่งเศสซึ่งอพยพหนีภัยการเมืองไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ในช่วงหนึ่งก่อนจะเดินทางกลับมายังถิ่นเกิด ตอนนั้นเขาเป็นที่รู้จักในฐานะวอทช์เมเกอร์ผู้มอบมรดกให้กับโลกนาฬิกา ทั้งในด้านกลไก (ระบบรองรับแรงกระแทกในนาฬิกา สปริงแบบเบรเกต์ ลวดฆ้องในนาฬิกาตีบอกเวลา) และดีไซน์ (ฟอนต์ตัวเลขอารบิกแบบเบรเกต์ เข็มสีน้ำเงินแบบเบรเกต์ สไตล์กิโยเช่แบบเบรเกต์)

เบรเกต์เข้าใจดีว่าการเดินของนาฬิกานั้นมีความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงของโลก ลองนึกภาพนาฬิกาพกที่ถูกวางไว้ในแนวระนาบ (เช่น บนโต๊ะ) ซึ่งทุกชิ้นส่วนกลไกจะถูกแรงโน้มถ่วงกระทำในระดับที่เท่ากัน กับนาฬิกาที่แขวนห้อยในแนวดิ่งยามเก็บไว้ในกระเป๋าเป็นเวลานานๆ ซึ่งแรงดึงดูดของโลกจะส่งผลต่อการทำงานของชิ้นส่วนฟันเฟืองต่างๆ ทำให้เวลาคลาดเคลื่อน เบรเกต์จึงแก้ไขด้วยการจับเอาชิ้นส่วนที่ได้รับผลกระทบ (ซึ่งก็คือบาลานซ์วีล บาลานซ์สปริง และเอสเคปเมนต์) ใส่เข้าไปใน
กรงที่หมุนอยู่ตลอดเวลา เป็นการชดเชยความคลาดเคลื่อน ทำให้
แสดงเวลาได้อย่างแม่นยำที่สุด และลักษณะการหมุนนั้นก็เป็นที่มา
ของชื่อคอมพลิเคชันทูร์บิญอง

“ด้วยสิ่งประดิษฐ์นี้ ข้าพเจ้าสามารถชดเชยความผิดปกติที่เกิดจากการเปลี่ยนตำแหน่งของจุดศูนย์ถ่วงอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของ
เรกูเลเตอร์ได้สำเร็จ ด้วยการใช้หลักการถ่วงดุลให้กลไกเคลื่อนไหวได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งกระจายแรงเสียดทานไปทั่วทุกจุดของแกนหมุนและช่องที่แกนเคลื่อนไหวอยู่”

Abraham-Louis Breguet

เบรเกต์ได้กล่าวไว้ เขาได้จดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์นี้เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1801 หลังจากนั้น เขาใช้เวลาหลายปีในการสร้างสรรค์นาฬิกาทูร์บิญองเรือนแรกที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนจนแล้วเสร็จในปี 1805 ตลอดช่วงชีวิตของอับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ เขาได้ผลิต
นาฬิกาพ็อกเก็ตวอทช์ที่มีทูร์บิญองทั้งสิ้น 35 เรือน และมี 20 เรือนที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน นวัตกรรมที่เขาได้สร้างสรรค์ไว้ถือเป็นมรดกสำคัญ 
ไม่เพียงเฉพาะต่อแบรนด์ของเขาเอง แต่ยังรวมถึงโลกนาฬิกาชั้นสูงด้วย

“ทูร์บิญองซึ่งคิดค้นโดยอับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ เมื่อปี 1801 ยังคงเป็นหนึ่งในกลไกที่ซับซ้อนที่สุดในศาสตร์การประดิษฐ์นาฬิกา ความเชี่ยวชาญในการสร้างกลไกนี้สะท้อนถึงความเป็นเลิศทางเทคนิคที่ Breguet ยึดมั่นมาโดยตลอด 200 ปี” Gregory Kissling ซีอีโอคนปัจจุบันของ Breguet กล่าว ในวาระครบรอบ 250 ปีของการก่อตั้งแบรนด์ ทาง Breguet จึงได้สร้างสรรค์ผลงานพิเศษออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเฉลิมฉลอง และผลงานลำดับที่ 4 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวล่าสุดก็คือ Classique Tourbillon Sidéral 7255 ซึ่งผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น โดยเบสมาจากนาฬิกาข้อมือทูร์บิญองเรือนแรกของแบรนด์ รหัส 3350 ซึ่งเปิดตัวในปี 1990 ความพิเศษของผลงานนี้ก็คือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่มีการนำเสนอฟลายอิ้งทูร์บิญองซึ่งต่างจากทูร์บิญองทั่วไปตรงที่ยึดด้วยบริดจ์ด้านล่างเพียงจุดเดียว และปราศจากบาร์ยึดจากด้านบน ทำให้ดูราวกับลอยอยู่ 

กลไกทูร์บิญองในรุ่นนี้ยังได้รับการออกแบบให้ยกตัวขึ้นเพื่อเน้นมิติของกลไกและให้ความรู้สึกเหมือนกำลังลอยตัว โดยสูงขึ้นจากแผ่นเพลต
2.2 มม. และลอยเหนือหน้าปัด 0.9 มม. และ Breguet ยังได้เพิ่ม Mysterious complication ซึ่งเป็นการทำให้แต่ละชิ้นส่วนของกลไกเคลื่อนไหวโดยดูราวกับไม่เชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ โดยอาศัยเรกูเลเตอร์ที่ซ่อนอยู่ อีกทั้งบริดจ์ล่างและฐานรองกรงทูร์บิญองยังผลิตจากกระจกแซฟไฟร์เคลือบสารกันสะท้อน จึงดูโปร่งใส ก่อให้เกิดเอฟเฟ็กต์เหมือนลอยได้ 

ผลงานนี้ยังสื่อถึงความเชื่อมโยงกับดาราศาสตร์ โดยคำว่า 
Sidéral หมายถึงดวงดาว อีกทั้งทูร์บิญองยังสื่อถึงการโคจร และตัวของ
อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์  ซึ่งมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ และยังได้ทำงานกับนักดาราศาสตร์มากมายในช่วงชีวิตของเขา และเหนืออื่นใด จุดเริ่มต้นที่ทำให้มนุษย์ครุ่นคิดเรื่องเวลายังมาจากการสังเกตดวงดาวบนฟ้า  ด้วยเหตุนี้ ทางแบรนด์จึงเลือกตกแต่งหน้าปัดด้วยอีนาเมล aventurine เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นศาสตร์ที่กำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 และยังผลิตตัวเรือนด้วย Breguet gold ซึ่งเป็นโลหะผสมที่เปิดตัวในปีนี้ โดยเป็นสีทองโทนอุ่นเจือชมพู ทั้งยังสลักลายกิโยเช่แบบ Quai de l’Horloge ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยชื่อมาจากสถานที่ตั้งร้านแรกของเบรเกต์ในปารีส และได้แรงบันดาลใจมาจากสายน้ำในแม่น้ำแซน

“นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Breguet ที่มีการนำเสนอ 
ฟลายอิ้งทูร์บิญอง ซึ่งเป็นการยกย่องสิ่งประดิษฐ์ของปรมาจารย์ 
อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์” มร. คิสลิ่ง กล่าว “ผมกล้าพูดเลยว่า Classique Tourbillon Sidéral 7255 คือบทกวีที่แต่งให้กับทูร์บิญองโดยแท้ จนการบอกเวลายังดูเหมือนเป็นเรื่องรองไปเลย”

MODERN-DAY  TOURBILLONS

ARNOLD & SON 

Constant Force Tourbillon 11 จาก Arnold & Son แบรนด์นาฬิกาจากอังกฤษซึ่งปัจจุบันตั้งโรงงานอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ได้แรงบันดาลใจมาจากมิตรภาพของสองวอทช์เมกเกอร์ในยุคเรืองปัญญา นั่นคือ จอห์น 
อาร์โนลด์ ช่างนาฬิกาผู้ก่อตั้งแบรนด์ และอับราฮัม หลุยส์-เบรเกต์ 
วอทช์เมกเกอร์ชาวฝรั่งเศส ทั้งสองมักข้ามประเทศเพื่อไปมาหาสู่และมักจะปรึกษากันเรื่องการพัฒนากลไกนาฬิกา แถมยังส่งบุตรชายของแต่ละฝ่ายไปฝึกกับอีกฝ่าย อัจฉริยะทั้งสองสามารถหาวิธีที่ดีที่สุดในการขจัดความคลาดเคลื่อนในการเดินของบาลานซ์นาฬิกาได้สำเร็จ ความสนิทสนมของทั้งสองปรากฏชัดในนาฬิกาทูร์บิญองที่เบรเกต์ออกแบบบน
พื้นฐานของนาฬิกามารีนโครโนมิเตอร์หมายเลข 11 ของจอห์น อาร์โนลด์ และมอบให้กับลูกชายของอาร์โนลด์หลังจากที่ผู้เป็นพ่อเสียชีวิตไปแล้ว 

เพื่อเป็นเกียรติแก่อัจฉริยะทั้งสองและเป็นบทส่งท้ายของการฉลอง 260 ปีของจอห์น อาร์โนลด์ ทางแบรนด์ Arnold & Son จึงได้สร้างสรรค์ Constant Force Tourbillon 11 ตัวเรือนทำจากทองคำ 18 กะรัตขนาด 41.5 มม. มาพร้อมกลไกจักรกลไขลานด้วยมือ ติดตั้งบาร์เรลคู่ที่ให้กำลังลานสำรองได้นานถึง 100 ชั่วโมง ติดตั้งกลไก constant force ซึ่งสามารถมองเห็นได้บนหน้าปัดเคลือบอีนาเมล และควบคุมความเที่ยงตรงด้วย
ทูร์บิญองซึ่งมองเห็นได้จากด้านหลัง และโครงสร้างของคาลิเบอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องวัดเวลา (timekeeping instrument) ที่ขับเคลื่อนด้วยทูร์บิญองเรือนแรกซึ่งเบรเกต์สร้างขึ้นในปี 1808 โดยอ้างอิงจากกลไกโครโนมิเตอร์ที่ออกแบบโดยจอห์น อาร์โนลด์ 

นาฬิกานี้ผลิตขึ้นมาเพียง 11 เรือนเท่านั้น และหนึ่งในผู้ที่ได้
ครอบครองก็คือนักร้องหนุ่ม Ed Sheeran ผู้หลงใหลในนาฬิกา และใส่นาฬิการุ่นนี้ถ่ายรูปลงในนิตยสารไทม์ในการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกครั้งล่าสุด

Purity Wavy Central Tourbillon

ARTYA 

กลไกคาลิเบอร์เซ็นทรัลทูร์บิญองซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grand Prix d’Horlogerie เมื่อปี  2024 ได้หวนกลับมาในรูปโฉมใหม่ในชื่อ Purity Wavy Central Tourbillon Purple 40 mm โดดเด่นสะดุดตาด้วยชิ้นแซฟไฟร์สีม่วงกลางหน้าปัด พร้อมทูร์บิญองโอเวอร์ไซส์ 19 มม. แถมกลไกยังทำที่ความถี่ 4 เฮิรตซ์ (28,800 ครั้งต่อชั่วโมง) ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่หาได้ยากสำหรับทูร์บิญองขนาดนี้ พร้อมบาร์เรลคู่ที่ทำงานประสานกันเพื่อส่งแรงบิดที่เพียงพอสำหรับพลังงานสำรอง 72 ชั่วโมง

กลไก PUR-T4 ยังนับเป็นกลไกทูร์บิญองแบบอัตโนมัติรุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นโดยโรงงานของ ArtyA โดยมีการออกแบบอย่างตั้งใจเพื่อให้ทูร์บิญอง
โดดเด่นเป็นพระเอก จึงได้ถอดเข็มกลางออกทั้งหมด เวลาถูกแสดงผลผ่านตัวบอกชั่วโมงและนาทีแบบรอบขอบตัวเรือนใต้หน้าปัดแซฟไฟร์

ตัวเรือนแซฟไฟร์ Wavy ขนาด 40 มม. เรือนนี้สะท้อนถึงแนวคิดการออกแบบนาฬิกาที่กล้าหาญโดยได้รับการตีความใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับคาลิเบอร์เซ็นทรัลทูร์บิญอง โครงสร้างตัวเรือนยกสูงขึ้นช่วยเพิ่มมิติ อีกทั้งวัสดุอย่างแซฟไฟร์โปร่งใสนอกจากจะทนต่อรอยขีดข่วนและ
การสึกหรอแล้ว ยังมอบมุมมองแบบพาโนรามา และสะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของแบรนด์ในการผสมผสานอันลงตัวระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยและความงามประณีต

Alpine Eagle Flying Tourbillon

CHOPARD

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2022 Chopard ได้เปิดตัว Alpine Eagle Flying Tourbillon ซึ่งทางแบรนด์เป็นเจ้าเดียวที่สามารถผลิตกลไกฟลายอิ้ง
ทูร์บิญองที่ได้รับการรับรองความแม่นยำโครโนมิเตอร์และตรา Poinçon de Genève ล่าสุด ทางแบรนด์ได้เผยเวอร์ชันที่ 3 ของนาฬิกานี้ซึ่งผลิตจาก Lucent Steel™ สตีลสุดเอ็กซ์คลูซีฟของแบรนด์ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและผลิตจากวัสดุรีไซเคิลมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ พร้อมหน้าปัดเฉดสีใหม่ ‘Rhône Blue’ ซึ่งได้แรงบันดาลจากฉากทัศน์ธรรมชาติของ
เทือกเขาแอลป์ ต้นกำเนิดของแม่น้ำ ‘Rhône’

พื้นหน้าปัดทอง 18K แกะสลักเป็นเส้นรัศมีลายโค้งที่ได้
แรงบันดาลใจมาจากลายม่านตาของนกอินทรี ซึ่งวนเข้าหาทูร์บิญองที่
ติดตั้ง ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกาโครงของนาฬิกาฟลายอิ้งทูร์บิญองซึ่งหมุนครบรอบทุก 1 นาที ถูกยึดไว้ด้วยสะพานจักรทางด้านล่าง เผยให้เห็นโครงสร้างจักรกลแบบ 3 มิติ ทำงานด้วยออโตเมติกทูร์บิญอง Cal.LUC 96.24-L ซึ่งพัฒนาต่อยอดขึ้นจาก Cal.LUC 96.01-L กลไก ‘อินเฮาส์’ รุ่นแรกของแบรนด์ที่เปิดตัวในปี 1997 ซึ่งบางแค่ 3.3 มม. เดินกำลังด้วยความถี่ 25,200 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้นาน 65 ชั่วโมง จากการ
ติดตั้งตลับลานแบบ 2 ชั้นด้วยเทคโนโลยี ‘Chopard Twin’ ถือได้ว่าเป็นนาฬิกาสปอร์ตที่แฝงไว้ด้วยความหรูหราประณีตเป็นที่สุด

Tourbillon 8

CVSTOS 

ตลอดระยะเวลา 20 ปี CVSTOS แบรนด์นาฬิกาอิสระได้พยายามทลายขอบเขตเดิมๆ ด้วยการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ  ดังที่ปรากฏใน Tourbillon 8 ผลงานฉลอง
ครบรอบซึ่งโดดเด่นด้วยโครงสร้างแบบแนวตั้ง เล่นกับความลึกและความเบา ขอบด้านข้างตัวเรือนฉลุและประกอบเข้ากับแซฟไฟร์เพื่อความโปร่ง ทำให้มองเห็นกลไก
ที่มีรูปทรงคล้ายเลข 8 จากทุกมุมมอง 

หัวใจของนาฬิกาสุดพิเศษเรือนนี้คือฟลายอิ้งทูร์บิญองซึ่งทำงานอย่างแม่นยำและเสถียร ทั้งยังมีระบบกันกระแทกล้ำสมัยตรงบริเวณฐานของกลไก จึงดูดซับแรงกระแทกและรับประกันความแข็งแรงทนทาน  ทำให้ผลงานนี้สวมใส่ในชีวิตประจำวัน แตกต่างจากทูร์บิญองแบบดั้งเดิมที่มักถูกมองว่าบอบบาง  อีกทั้งการใช้ไทเทเนียมและอะลูมิเนียมช่วยให้
ตัวเรือนมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพ  และความสบายในการสวมใส่บนข้อมือ  

Tourbillon 8  มีตัวเรือน 4 วัสดุให้เลือก คือ ตัวเรือนเรดโกลด์จับคู่กลไกทอง  ตัวเรือนไทเทเนียมจับคู่กับกลไกน้ำเงิน ตัวเรือนแซฟไฟร์จับคู่กลไกสีน้ำเงิน และตัวเรือนแซฟไฟร์จับคู่กลไกชุบโรเดียม ผลิตแบบละ 20 เรือนเท่านั้น

CZAPEK 

“นักสะสมของเรามักจะถามเสมอว่า ‘ต่อไปจะมีอะไร?’ สำหรับรุ่น Antarctique” ซาวิเยร์ เดอ โรเกมอเรล ซีอีโอของ Czapek เล่า “หลังจาก
กลไก Rattrapante เราขอก้าว
ไปในทิศทางที่อาจไม่คาดคิด นั่นคือ การนำเรกูเลเตอร์อายุสองศตวรรษอย่างทูร์บิญองมาตีความใหม่  จุดเริ่มต้นของเรายังคงเหมือนเดิม คือการเล่นกับความขัดแย้งระหว่างมรดกทางประวัติศาสตร์และความล้ำสมัย และผลลัพธ์ก็คือคาลิเบอร์ทูร์บิญองใหม่เรือนนี้”

นาฬิกาสไตล์สปอร์ตชิค Antarctique Tourbillon นี้สมกับที่เป็นผลงานครอบรอบ 10 ปีการกลับมาของ Czapek และยังตรงกับวาระ
ครบรอบ 180 ปี ของแบรนด์ด้วย ดีไซน์โดดเด่นงดงามทั้งด้านงานฝีมือและด้านเทคนิค ตัวเรือนครอบด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงกล่องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำงานด้วยกลไก Czapek Calibre 9 โดยตั้งใจออกแบบ
ให้ทูร์บิญอง ชุดเฟือง และตลับลานปรากฏอยู่บนหน้าปัด เรียงตัวอย่างสมบูรณ์บนแกนตั้ง และให้ความรู้สึกโปร่งเบาที่สุด โดยฟลายอิ้งทูร์บิญองแบบเปิดโครงสร้างปรากฏเหมือนลอยอยู่ระหว่างเพลตหลักกับหน้าปัด เชื่อมต่อโดยตรงกับชุดเฟืองที่ลอยอยู่กลางหน้าปัด ส่วนตลับลานครองพื้นที่ด้านบนของหน้าปัด ลอยอยู่ในช่องเปิดใต้สะพานเปิดโครงสร้าง สร้างความสมดุลระหว่างความซับซ้อนทางเทคนิคและความงดงาม

ทางแบรนด์ยังได้ร่วมกับ  Metalam พัฒนาลายกิโยเช่แบบลวงตาขึ้นมาใหม่ และตั้งชื่อให้ว่า Singularité ซึ่งมาจากคำศัพท์ดาราศาสตร์ singularity หมายถึง จุดหรือบริเวณในจักรวาลที่กฎฟิสิกส์มาตรฐาน
ล้มเหลว ทำให้กาลอวกาศไร้ขีดจำกัด

FRANCK MULLER

ในโลกของนาฬิกาชั้นสูง มีผลงานเพียงไม่กี่ชิ้นที่สามารถสร้างนิยามใหม่ให้กับศิลปะแห่งการบอกเวลาได้ Curvex CX Grand Central Tourbillon Rainbow คือหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซนั้น ผลงานนี้เกิดจากความตั้งใจชูความโดดเด่นของทูร์บิญองซึ่งปกติจะติดตั้งที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ด้วยการย้ายมาอยู่ตรงกลางหน้าปัด โดยหัวใจของนาฬิกาเรือนนี้คือ MVT FM CX 36T-CTR กลไกจักรกลอัตโนมัติที่มาพร้อมไมโครโรเตอร์เอ็กเซนทริก ซึ่งไม่ค่อยพบในทูร์บิญองของ Franck Muller  พร้อมกำลังลานสำรองถึง 4 วัน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความแม่นยำ และงานฝีมืออันยอดเยี่ยม

ในแง่ของความงาม นาฬิกานี้ยังประดับด้วยเพชรคัดสรรด้วยมือ เล่นแสงระยิบระยับบนตัวเรือนพิงก์โกลด์ขนาด 36 มม. x 58.1 มม. และทุกเรือนในคอลเลกชันนี้ประดับด้วยอัญมณีหลากสี ตั้งแต่สีน้ำเงินเข้ม เขียวสด ไปจนถึงส้มและแดง ความเจิดจรัสยังทอดยาวไปยังตัวเรือนที่ประดับเพชร ส่องประกายระยิบระยับทุกครั้งที่ข้อมือเคลื่อนไหว

Portugieser Tourbillon Rétrograde Chronograph

IWC Schaffhausen 

เมื่อ IWC Schaffhausen นำคอมพลิเคชันมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ Portugieser Tourbillon Rétrograde Chronograph เป็นผลงานมาสเตอร์พีซที่น่าจับตามอง โดยมาพร้อม Flying Minute Tourbillon ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา มีน้ำหนักเพียง 0.675 กรัม และประกอบด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ ถึง 56 ชิ้น ที่สำคัญคือมีระบบหยุดทูร์บิญองในตัว ทำให้สามารถตั้งเวลาได้แม่นยำถึงระดับวินาทีเลยทีเดียว พร้อมคันบังคับและล้อจักรยังผลิตจากซิลิโคนและเคลือบด้วยเทคโนโลยี Diamond Shell® เอกสิทธิ์เฉพาะของ IWC ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มประสิทธิภาพการสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 68 ชั่วโมง ทั้งยังแสดงวันที่ด้วยเข็มเรโทรเกรด ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และฟังก์ชันจับเวลา Flyback Chronograph ซึ่งทำให้รีเซ็ตและเริ่มจับเวลาใหม่ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ

นาฬิกานี้ขับเคลื่อนด้วยกลไก IWC-manufactured 89900 calibre ซึ่งเป็นกลไกอัตโนมัติที่ซับซ้อนที่สามารถชื่นชมได้อย่างเต็มตาผ่านฝาหลังแบบกระจกแซฟไฟร์ โดยเฉพาะโรเตอร์ซึ่งผลิตจาก Solid Gold บรรจุอยู่ในตัวเรือน 43.5 มม. ซึ่งผลิตจาก 18-carat Armor Gold® วัสดุอันเป็นเอกสิทธิ์ที่ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างจุลภาคให้มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าทองคำอัลลอยทั่วไป รับกับหน้าปัดเฉดสีออบซิเดียนล้ำลึก

Catrina Skull

JAQUET DROZ 

Jaquet Droz เปิดตัวนาฬิกาเรือนพิเศษ Catrina Skull ที่อุทิศให้กับ
ตัวละครหญิงเพียงไม่กี่ตัวของ ‘ความตาย’ ในเทศกาล Día de Muertos ของเม็กซิโก โดยนำเสนอในตัวเรือนเรดโกลด์  39 มม.  ผสานเทคนิค micro-painting, paillonné และ grand feu enamel อย่างชำนาญ เพื่อถ่ายทอดความซับซ้อนและความมีชีวิตชีวาของตัวละคร Catrina  ซึ่งปรากฏบนหน้าปัดด้านขวา  

และที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นไม่แพ้กันก็คือ กลไกฟลายอิ้งทูร์บิญองขนาดใหญ่ ซึ่งติดตั้ง ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกา พร้อมกำลังลาน 8 วัน  
การออกแบบนี้สะท้อนถึงความแม่นยำในการวัดเวลาในขณะที่
ตัวละคร Catrina เองกลับเฉยเมยต่อแนวคิดของเวลา ผลงานที่มีเพียง
หนึ่งเดียวในโลกนี้ไม่เพียงแต่เป็นนาฬิกา แต่เป็นงานศิลป์ที่สะท้อน
ตำนานและความงดงามของวัฒนธรรมเม็กซิกัน ผ่านฝีมือระดับสูงของ Jaquet Droz อย่างแท้จริง

TIFFANY & CO.

ช่วงหลังๆ มานี้ เราได้เห็น Tiffany & Co. หันมาลุยตลาดนาฬิกาชั้นสูงมากขึ้น อย่างผลงานล่าสุด Bird on a Flying Tourbillon Azure Blossom ซึ่งที่ต่อยอดมาจากนาฬิกากลไกฟลายอิ้งทูร์บิญองเรือนแรกจากเข็มกลัด Bird on a Rock ที่ Jean Schlumberger ออกแบบให้ Tiffany & Co. ในปี 1965  

หน้าปัดนี้ใช้หัตถศิลป์ถึง 5 แขนง ได้แก่ ชองป์เลอเว่อีนาเมล 
การลงรัก การแกะสลักทองคำขนาดจิ๋ว  การฝังเพชร และการเจียระไนแซฟไฟร์คริสตัลด้วยมือ เพื่อสื่อถึงสวนอันเขียวชอุ่มในบ้านพักที่ปารีสและเกาะกวาเดอลูปของ Schlumberger ส่วนนกที่ปรากฏบนหน้าปัดเป็นการตีความนกค็อกคาทูสีทองจากเข็มกลัดต้นฉบับ และถูกออกแบบให้เหมือนกำลังจะโผบินจากขอบกลไกทูร์บิญอง 

ผลงานนี้ขับเคลื่อนด้วยกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญองแบบไขลาน
ด้วยมือ Caliber AFT24T01 ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกโดย 
Artime Manufacture โรงงานผู้ผลิตกลไกนาฬิกาชั้นสูงระดับสวิส ภายในเวิร์กช็อปในแคว้นฌูรา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้การกำกับดูแลด้านความคิดสร้างสรรค์ของ Tiffany & Co. กลไกนี้
ประกอบด้วยชิ้นส่วนทั้งสิ้น 205 ชิ้น มอบพลังงานสำรองสูงสุดถึง 
50 ชั่วโมง สามารถชมความงามของชิ้นส่วนที่ได้รับการตกแต่งอย่างประณีตได้ผ่านฝาหลัง

RM 75-01 Flying Tourbillon Sapphire

RICHARD MILLE 

Richard Mille ได้สั่งสมความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นาฬิกาจากแซฟไฟร์สังเคราะห์มาเป็นเวลานาน โดยถือเป็นเจ้าแรกที่ได้นำวัสดุสุดท้าทายนี้มาใช้ในการผลิต
ตัวเรือนนาฬิกา ทั้งขอบตัวเรือน ขอบข้าง และฝาหลังตัวเรือน ดังเช่นผลงานล่าสุด RM 75-01 Flying Tourbillon Sapphire ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโลกแห่งท้องทะเล
นำเสนอออกมา 3 รุ่น 

ตัวเรือนแซฟไฟร์โปร่งใสนี้ช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับกลไกซึ่งสามารถมองเห็นได้จากทุกมุมมอง แถมกลไกนี้ยังเป็นความท้าทาย
ครั้งใหม่ของแบรนด์ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ออกแบบกลไกขึ้นมาใช้กับตัวเรือนแซฟไฟร์โดยเฉพาะ กลไกไขลาน RM 75-01 แบบสเกเลตันนี้ดูงดงามราวกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ทั้งยังเรียบง่ายเพราะผ่านการลดทอนรายละเอียดที่เกินจำเป็น แต่ก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการตัดกันอย่างโดดเด่นของวัสดุและทรีตเมนต์ที่นำมาใช้  ตัวเบสเพลต
ไทเทเนียมเคลือบพีวีดีทอง 5N ผ่านการฉลุโปร่งจนดูราวกับลูกไม้โลหะ 
ทำหน้าที่เป็นที่ยึดเฟือง มินิตบริดจ์รูปทรงตัว X ที่พาดผ่านกลางหน้าปัดรวมทั้งฟลายอิ้งทูร์บิญอง ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา และตลับลาน ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งออกแบบให้ปราศจากบริดจ์ที่ด้านบน จึงดูราวกับลอยได้ 

VACHERON CONSTANTIN

ในวาระครบรอบ 270 ปี ทาง Vacheron Constantin จึงได้สร้างสรรค์นาฬิกาคอลเลกชันล่าสุด Métiers d’Art Tribute to 
the Celestial  ที่ประกอบด้วยผลงาน 12 เรือน โดยแต่ละเรือนได้รับ
แรงบันดาลใจจากราศีทั้ง 12 ตามระบบโหราศาสตร์ตะวันตก โดย
นำเสนอผ่านงานฝีมือระดับสูง
ที่ผสมผสานเทคนิคดั้งเดิมกับความงดงามร่วมสมัย

หน้าปัดของนาฬิกาทุกเรือนได้รับการตกแต่งด้วยเทคนิคการสลักลายกิโยเช่เป็นลายกลุ่มดาวตามจักรราศีแทนที่จะเป็นลวดลายเชิงนามธรรมแบบที่เรามักใช้กับเทคนิคนี้ และประดับด้วยเพชร  เปล่งประกายเสมือนลอยอยู่บนหน้าปัดสีน้ำเงินเข้ม ให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบสมจริง 

ตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 39 มม.​ ซึ่งประดับแซฟไฟร์สีน้ำเงินทรง
บาแก็ตต์ 96 เม็ดที่ขอบตัวเรือน ขานาฬิกา เม็ดมะยม ภายในบรรจุด้วยกลไกระดับมาสเตอร์พีซด้วย Caliber 2160 กลไกอัตโนมัติแบบทูร์บิญองที่บางเป็นพิเศษเพียง 5.65 มิลลิเมตร พร้อมสำรองพลังงานสูงสุด 80 ชั่วโมง ผ่านการไขลานด้วย peripheral oscillating weight จากทองคำ 22K ที่ไม่บดบังการชมความประณีตของกลไกด้านใน  

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่:

Girard-Perregaux เปิดตัว Calibre GP4800 กลไกอัตโนมัติ In-House ใหม่!

6 แบรนด์นาฬิกาจีนที่ใช้หน้าปัดลงยา (Enamel) ซึ่งคุณสามารถหาซื้อได้ในปัจจุบัน

ทำความรู้จัก Lederer แบรนด์นาฬิกาอิสระโดย Bernhard Lederer ปรมาจารย์ด้าน escapement

Share post:

More like this

นาฬิกา Grand Seiko ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

จากทะเลสาบซูวะถึงฟากฟ้ายามเที่ยงคืน Grand Seiko ถ่ายทอดความงดงามแห่งสายน้ำบนหน้าปัดทั้ง 4 รุ่น ที่สะท้อนแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและความประณีตของญี่ปุ่น

Louis Vuitton Tambour Convergence สไตล์วินเทจมินิมัลที่ดูร่วมสมัย พร้อมลีลาการบอกเวลาที่แตกต่าง

เมื่อ Louis Vuitton เล็งเห็นเสน่ห์ในเรือนเวลา Jump Hour และผสานเข้ากับตัวตนของเมซงได้อย่างลงตัว กลายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่นาฬิกา jump hour...

นาฬิกาหรูจะไปทางไหน? สรุปประเด็นร้อน เจาะลึกทุกมุมมองจาก FHH Watch Summit ครั้งแรกที่ New York

สรุปประเด็นร้อนจากการประชุม FHH Watch Summit ครั้งประวัติศาสตร์ที่ New York ผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 คนถกกันถึงอนาคตนาฬิกาหรู เมื่อคนรุ่นใหม่ (Millennial & Gen Z) ให้ความสำคัญกับ 'งานฝีมือ' เหนือชื่อแบรนด์ และทำให้ 'ตลาดมือสอง' กลายเป็นทางเข้าหลักของวงการ