ถ้าคุณคิดว่านาฬิกาเป็นแค่เครื่องบอกเวลา… เราอยากชวนคุณย้อนกลับไปไกลกว่านั้น
ลองจินตนาการถึงเจนีวาเมื่อกว่า 270 ปีก่อน เมืองเล็กริมทะเลสาบที่เต็มไปด้วยเสียงเครื่องมือช่าง เสียงเหล็กกระทบกันเบา ๆ และกลิ่นของไม้เก่าที่เคยเก็บความลับของเวลาไว้ในทุกลมหายใจ ที่นั่น… ณ เวิร์กช็อปเล็ก ๆ ของชายคนหนึ่งชื่อว่า Jean-Marc Vacheron ความฝันที่ยิ่งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้น ไม่ใช่แค่ฝันที่จะประดิษฐ์นาฬิกา แต่คือการจับช่วงเวลาให้อยู่ในฝ่ามืออย่างสง่างาม
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชื่อของ Vacheron Constantin ก็กลายเป็นบทหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกนาฬิกา เป็นหลักไมล์ของความมุ่งมั่น ความประณีต และศิลปะที่ไม่เคยหยุดเดินหน้าตามกระแสโลก และใช่…เรื่องราวนี้ยังไม่จบตรงนั้น

Vacheron Constantin มรดกแห่งกาลเวลาที่สืบทอดมากว่า 270 ปี
ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วกว่าเข็มวินาที มีเพียงไม่กี่สิ่งที่ยังคงอยู่กับมนุษย์มาเนิ่นนานอย่างมั่นคง Vacheron Constantin คือนาฬิกาเรือนหนึ่งในนั้น
ย้อนกลับไปในปี 1755 ที่เมืองเจนีวา ศูนย์กลางของหัตถศิลป์ชั้นสูงแห่งยุโรป ขณะที่โลกยังไม่รู้จักคำว่า “ควอตซ์” หรือ “สมาร์ตวอทช์” ชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า Jean-Marc Vacheron ได้ตั้งเวิร์กช็อปเล็ก ๆ เพื่อสร้างกลไกเวลาอย่างพิถีพิถัน เขาไม่ได้ทำเพียงนาฬิกา เขาสร้างคุณค่าขึ้นในทุกฟันเฟือง
นั่นคือจุดเริ่มต้นของแบรนด์นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งยังคงดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่องโดยไม่เคยหยุดสายการผลิตแม้แต่วันเดียว ตลอดช่วงสงคราม วิกฤตเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย

จากเวิร์กช็อปไม้เล็ก ๆ กลางเมืองกลายมาเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับความไว้วางใจจากกษัตริย์ จักรพรรดิ และนักสะสมนาฬิกาชั้นนำทั่วโลก Vacheron Constantin ไม่เคยยอมลดระดับความประณีตของตนแม้จะอยู่ท่ามกลางโลกที่วิ่งเร็วขึ้นทุกวินาที
และในขณะที่หลายแบรนด์หันหานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อตามให้ทันโลก Vacheron Constantin กลับเลือกยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่าเวลา ด้วยหลักการที่ François Constantin ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ปี 1819 ว่า “Faire mieux si possible, ce qui est toujours possible.”
วลีนี้ไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่มันคือแก่นกลางของจิตวิญญาณที่ทำให้นาฬิกาของแบรนด์นี้แตกต่างจากเรือนเวลาใด ๆ บนโลก
จากห้องเวิร์กช็อปสู่การปฏิวัติเครื่องบอกเวลาในประวัติศาสตร์
ในปี 1839 แบรนด์ได้ดึงตัววิศวกรอัจฉริยะนามว่า Georges-Auguste Leschot เข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการนาฬิกาไปตลอดกาล ด้วยการคิดค้นเครื่องจักรที่สามารถผลิตชิ้นส่วนนาฬิกาให้มีขนาดมาตรฐาน และสามารถสลับเปลี่ยนกันได้อย่างแม่นยำ จุดเริ่มต้นของการผลิตนาฬิกาแบบ interchangeable parts ที่เปรียบได้กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมนาฬิกายุคใหม่

ในช่วงปี 1920s – 1930s
เสน่ห์ของแบรนด์ยิ่งเฉิดฉายด้วยงานออกแบบแนว Art Deco ที่ผสานความงามแบบสถาปัตยกรรมเข้ากับกลไกอันซับซ้อนของนาฬิกา กลายเป็นเครื่องประดับที่ไม่ได้แค่บอกเวลา แต่บอกถึงรสนิยมของผู้สวมใส่
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แบรนด์ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในเจนีวา แต่เริ่มขยายอิทธิพลไปสู่ตลาดอเมริกา กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ยุโรปรายแรกที่บุกตลาดใหญ่นอกทวีป และในขณะที่คนทั้งโลกยังพกนาฬิกาในกระเป๋า Vacheron Constantin กลับเริ่มผลิตนาฬิกาข้อมืออย่างต่อเนื่อง การมองเห็นอนาคตของโลกเวลาก่อนใครในยุคที่ยังไม่มีใครคิด



ศิลปะเรือนเวลา เมื่อช่างนาฬิกาเป็นดั่งศิลปิน
ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 21 เกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อแบรนด์เผยโฉมผลงานระดับตำนานอย่าง Tour de l’Île นาฬิกาข้อมือที่ซับซ้อนที่สุดในโลกในเวลานั้น ด้วยฟังก์ชันถึง 16 กลไก ในเรือนเดียว ผลงานที่ไม่ได้แค่แสดงความชำนาญของช่าง แต่คือการประกาศศักดาแห่งหัตถศิลป์ของแบรนด์ในระดับโลก


และเมื่อเข้าสู่ปี 2015 ในวาระครบรอบ 260 ปี ของการก่อตั้ง Vacheron Constantin ได้เปิดตัวนาฬิกาเรือนประวัติศาสตร์อีกเรือนหนึ่ง Reference 57260 ซึ่งกลายเป็น นาฬิกาที่ซับซ้อนที่สุดในโลก
ด้วยฟังก์ชันมหาศาลถึง 57 ประการ บรรจุอยู่ในเรือนเดียว นี่ไม่ใช่แค่นาฬิกา แต่มันคือบทสรุปของสองศตวรรษครึ่งแห่งความหลงใหล ความมุ่งมั่น และการเดินหน้าท้าทายขีดจำกัดของเวลาอย่างแท้จริง
หลังจากที่ Vacheron Constantin ฉลองครบรอบ 260 ปีในปี 2015 ปีถัดมาพวกเขาเปิดตัวนาฬิกา Overseas รุ่นที่สาม ซึ่งเป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยมีการพัฒนากลไกที่ผลิตภายในโรงงานของตนเอง (in-house movements)
รวมถึง Calibre 5100 สำหรับรุ่นสามเข็ม Calibre 5200 สำหรับรุ่นโครโนกราฟ และ Calibre 5300 สำหรับรุ่นผู้หญิงที่มีเข็มวินาทีขนาดเล็ก นาฬิกาชุดนี้ทำให้การผสมผสานของดีไซน์และกลไกเทคโนโลยีที่ทันสมัยกลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์
ในปี 2017 Vacheron Constantin เปิดตัว Les Cabinotiers Celestia Astronomical Grand Complication 3600 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ นาฬิกาชิ้นนี้มาพร้อมกับฟังก์ชัน 23 รายการในตัวเรือนที่บางเฉียบเพียง 8.7 มม. จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการผลิตนาฬิกาที่มีความซับซ้อนสุดขีดพร้อมดีไซน์ที่งดงาม

ส่วนในปี 2018 Vacheron Constantin ได้เปิดตัวคอลเลกชัน Fiftysix ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิการุ่น 6073 ในปี 1956 การออกแบบในคอลเลกชันนี้ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความทันสมัยอย่างลงตัว และเป็นการแสดงถึงการคงความเป็นเอกลักษณ์ในขณะเดียวกันก็ทันสมัยและเข้ากับยุคสมัย
ต่อมาในปี 2019 Vacheron Constantin ได้เปิดตัว Traditionnelle Twin Beat Perpetual Calendar นาฬิกาที่มีระบบการเปลี่ยนความถี่ของกลไกจาก 5Hz เป็น 1.2Hz ซึ่งทำให้สามารถยืดอายุการสำรองพลังงานสูงสุดถึง 65 วัน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการประดิษฐ์ที่ไม่เคยหยุดหย่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้งาน

ในปี 2021 Vacheron Constantin เปิดตัว Les Cabinotiers Sonnerie Westminster – Tribute to Johannes Vermeer นาฬิกาพกแบบสั่งทำพิเศษที่รวมความชำนาญทางศิลปะและการผลิตนาฬิกาชั้นสูงของแบรนด์ได้อย่างลงตัว
ด้วยการใช้กลไกในบ้าน Calibre 3761 ซึ่งมีฟังก์ชันที่ซับซ้อนอย่าง Grande และ Petite Sonnerie, Minute Repeater, Westminster Carillon และ Tourbillon ที่พัฒนาขึ้นโดยช่างนาฬิกาที่ออกแบบ Reference 57260 ตัวเรือนได้รับการสลักด้วยมือด้วยเทคนิคต่างๆ
และได้รับการตกแต่งด้วยโบว์ที่ประดับด้วยหัวสิงโตที่สลักด้วยมือ อีกทั้งฝาหลังของนาฬิกายังมีการสร้างงานเครื่องปั้นเซรามิกของภาพสาวสวมต่างหูมุกจากผลงานของ Johannes Vermeer โดยฝีมือของ Anita Porchet


ในปี 2022 Vacheron Constantin เปิดตัว Métiers d’Art Tribute to Great Civilisations ซึ่งเป็นคอลเลกชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิเปอร์เซียในยุค Darius the Great สมัยทองคำของอียิปต์โบราณ ยุคเฮลเลนิสติกของกรีกโบราณ
และการขึ้นสู่อำนาจของ Augustus จักรพรรดิแห่งโรมัน คอลเลกชันนี้เกิดจากความร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) ในกรุงปารีส ซึ่งเริ่มต้นในปี 2019 และผ่านกระบวนการทำงานร่วมกับผู้ดูแลและนักประวัติศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์

ปี 2023 เรียกว่าเป็นปีแห่งการสร้างสรรค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับ Vacheron Constantin เพราะพวกเขาได้สร้าง Les Cabinotiers Armillary Tourbillon (Rolls-Royce) ในการตอบสนองต่อคำขอพิเศษจากลูกค้า
รายการนี้ถูกออกแบบให้มี Tourbillon แบบสองแกน (dual-axis tourbillon) และหน้าปัดที่แสดงชั่วโมงและนาทีแบบย้อนกลับ (retrograde hours and minutes) ซึ่งจะติดตั้งลงในส่วนหน้าของรถยนต์ Rolls-Royce Amethyst Droptail
นาฬิกานี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้พอดีกับการตกแต่งภายในของรถยนต์ที่ออกแบบโดย Rolls-Royce โดยได้รับการทำงานร่วมกับทีมงานจาก Rolls-Royce ในการพิจารณาข้อกำหนดทางเทคนิคและการตกแต่ง
ในปีเดียวกัน Vacheron Constantin ยังได้ประกาศ การเป็นพันธมิตรกับ The Metropolitan Museum of Art (The MET) ซึ่งเป็นการร่วมมือทางศิลปะและวัฒนธรรม โดยพันธมิตรนี้มุ่งเน้นไปที่การอนุรักษ์และเฉลิมฉลองศิลปะและความรู้ ผ่านพันธมิตรนี้ Vacheron Constantin จะสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของ The MET และร่วมมือในการจัดงานพิเศษต่างๆ

ถัดมาในปี 2024 Vacheron Constantin เปิดตัว การเป็นพันธมิตรกับ Educational Institute of the Palace Museum ที่ลงนามเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งเป็นการร่วมมือระยะยาวที่มีรากฐานจากการศึกษและการส่งต่อความรู้ อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างแบรนด์กับประเทศจีนตั้งแต่ปี 1845
ปี 2024 ยังเป็นปีที่ Vacheron Constantin เปิดตัว Les Cabinotiers The Berkley Grand Complication ซึ่งถือเป็นนาฬิกาที่ซับซ้อนที่สุดในโลก มีฟังก์ชันถึง 63 รายการและส่วนประกอบถึง 2,877 ชิ้น
โดยมาพร้อมกับปฏิทินจีนนิยม (Chinese Perpetual Calendar) ซึ่งมีความซับซ้อนเนื่องจากวงจรของปฏิทินจันทรสุริยะที่ไม่เป็นระเบียบ การพัฒนากลไก Calibre 3752 จนถึง 2200 ถือเป็นความสำเร็จทางการผลิตนาฬิกาที่ต้องใช้เวลากว่า 11 ปีในการพัฒนา และนาฬิกาชิ้นนี้เป็นการก้าวไปข้างหน้าของการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงในประวัติศาสตร์
การแสวงหาความเป็นเลิศ
ในปี 2025 นี้ เรื่องราวแห่งกาลเวลาได้เริ่มต้นขึ้นอย่างยิ่งใหญ่จากใจกลางอาบูดาบี เมื่อแบรนด์ได้เปิดม่านนิทรรศการฉลอง 270 ปีของแบรนด์ระดับตำนาน ภายใต้ชื่อ The Quest: 270 Years of Seeking Excellence นิทรรศการครั้งนี้เป็นการพาผู้ชมดำดิ่งสู่โลกแห่งศิลปะ กลไก วิสัยทัศน์ และจิตวิญญาณที่ขับเคลื่อนแบรนด์มาตลอดเกือบสามศตวรรษ

สถานที่จัดงานคือ Al Qana ริมน้ำสุดงดงามในอาบูดาบี ที่ซึ่งผู้คนจากทั่วโลกได้เข้าชมระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึง 15 เมษายน ที่ผ่านมา ก่อนที่นิทรรศการนี้จะเริ่มต้นการเดินทางไปทั่วโลก สัมผัสแรกที่ได้ก้าวเข้าสู่งานนี้ คือความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในปี 1755 จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่เคยหยุดนิ่งของ Vacheron Constantin ที่เชื่อมั่นเสมอ

หนึ่งในหัวใจหลักของนิทรรศการคือการบอกเล่าประวัติศาสตร์ผ่านเรือนเวลาสุดล้ำค่า ตั้งแต่นาฬิกาแบบ pocket watch สไตล์ grand complication เครื่องประดับระดับไฮจิวเวลรี่ ไปจนถึงนาฬิกากลไกพิเศษที่มีเข็มชั่วโมงกระโดดและนาทีแบบถอยกลับ ทุกชิ้นคือหลักฐานแห่งความมุ่งมั่นและความประณีตที่ไม่เปลี่ยนแปลงของแบรนด์


ครั้งนี้เป็นการก้าวข้ามกาลเวลาไปยังอนาคต ห้อง Constellation Room ในงานจัดแสดงผังดวงดาวของท้องฟ้าอาบูดาบียามค่ำคืน เป็นการเชื่อมโยงระหว่างดาราศาสตร์ ศิลปะ และการประดิษฐ์นาฬิกาอย่างลึกซึ้ง
ในแต่ละห้องของนิทรรศการถูกเรียงร้อยเป็นบทต่าง ๆ ทั้ง The Beginning, Artistic Crafts and Finishing, High Watchmaking, The Quest, Arts and Culture The Majlis, ไปจนถึง Guests Experience ที่มอบความรู้สึกเสมือนเราได้เดินทางผ่านยุคสมัยไปพร้อมกับแบรนด์

อีกหนึ่งจุดที่ตรึงสายตาคือการจัดแสดงเรือนเวลารุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในงาน Watches & Wonders พร้อมกันกับเจนีวา ทั้งรุ่น Diamond-set Traditionnelle Tourbillon, Patrimony Retrograde, Égérie สีโรสโกลด์ประดับเพชร และ Historiques 222 ที่มาในสตีล ซึ่งทั้งหมดล้วนสื่อถึงความกลมกลืนระหว่างเทคโนโลยีล้ำยุคและรากฐานความงามแบบดั้งเดิม
หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุดในนิทรรศการนี้คือการเผยโฉม Celestia เรือนเวลาชั้นสูงที่ประดับแผนที่ท้องฟ้าเหนืออาบูดาบียามค่ำคืน เป็นการหลอมรวมความแม่นยำทางกลไกกับความงามทางดาราศาสตร์อย่างลงตัว และยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างแบรนด์กับศาสตร์แห่งจักรวาล

นอกจากนี้ นิทรรศการยังได้สร้าง Majlis พื้นที่พิเศษที่ทางแบรนด์จัดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นสถานที่พบปะ สนทนา และเรียนรู้เรื่องราวของ haute horology อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการเวิร์กช็อป การบรรยาย หรือกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะในช่วงเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่แบรนด์ได้นำเสนอโปรแกรมพิเศษ เพื่อเชื่อมโยงจิตวิญญาณของฤดูกาลกับศิลปะและมรดกแห่งภูมิปัญญา


เสียงตอบรับจากผู้ชมล้นหลาม และหนึ่งในไฮไลต์ที่ทำให้คนในวงการต้องจับตามองคือ การกล่าวของ Christophe Ramel ผู้จัดการทั่วไปของ Vacheron Constantin Middle East ที่บอกว่า การนำเสนอ The Quest ในอาบูดาบีครั้งนี้ คือเกียรติอย่างสูงสุด เป็นการเฉลิมฉลองมรดกของแบรนด์ควบคู่กับความล้ำสมัยของเมืองหลวงแห่งนี้


และใช่…การเดินทางครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากปิดม่านที่อาบูดาบี นิทรรศการจะออกเดินทางไปยังเมืองสำคัญทั่วโลกตลอดปี 2025 ซึ่งรายละเอียดสถานที่จะประกาศเร็ว ๆ นี้ และไม่ว่าเมืองต่อไปจะอยู่ที่ไหน รับรองว่าจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความเป็นเลิศของ Vacheron Constantin จะส่องประกายไม่ต่างจากครั้งแรกที่มันถือกำเนิดในปี 1755

เส้นทางของ Vacheron Constantin เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่และผลงานที่ทรงคุณค่า ซึ่งยังคงสร้างตำนานและผลักดันขอบเขตแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงไปสู่จุดสูงสุดในทุกๆ ปีและนี่คือการเดินทางอันยาวนานของ Vacheron Constantin ที่ไม่เคยหยุดยั้งในการสร้างสรรค์ผลงานสุดล้ำค่าที่ยังคงยืนหยัดเป็นผู้นำในวงการนาฬิกาชั้นสูงตลอดระยะเวลากว่า 270 ปี
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกเรือนเวลาสุดล้ำได้ที่ Revolution Thailand แหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับนักสะสมนาฬิกาตัวจริง
ภาพ | ที่มา: Vacheron Constantin / Revolution

