นาฬิการุ่นล่าสุดจาก URWERK ที่มาพร้อมเข็มบอกเวลาและ Double Flow Turbine สิทธิบัตรเฉพาะ

คงต้องบอกว่า เกินคาดไปมาก สำหรับ UR-10 SpaceMeter นาฬิการุ่นล่าสุดในตระกูล UR-Special Projects ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับตระกูล UR-Satellite ซึ่งมักจะมาพร้อมกับระบบแซตเทิลไลต์ และเดินบอกเวลาแบบ wandering hours แต่คราวนี้ดูเหมือนว่า ทั้งสองผู้ก่อตั้งและสร้างสรรค์ URWERK จะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า ถึงเวลาที่เราต้องมีนาฬิกาที่เดินบอกเวลาด้วยเข็มแล้ว แต่ใช่ว่า UR-10 SpaceMeter จะมาแบบนาฬิกาสามเข็มทั่วไป เพราะถึงอย่างไรดีเอ็นเอของแบรนด์ก็ยังคงเข้มข้น แถมยังพ่วงมากับสิทธิบัตรใหม่ที่ต้องจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ URWERK อีกครั้ง
รูปลักษณ์ใหม่ที่สร้างเซอร์ไพรส์
สำหรับคนที่ติดตามผลงานของ Felix Baumgartner และ Martin Frei มาโดยตลอด แวบแรกที่เห็นต้องบอกเลยว่าเผลออ้าปากค้างแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว หนึ่ง เป็นเพราะเราไม่เคยเห็นนาฬิกาบอกเวลาด้วยเข็มจาก URWERK สอง เป็นเพราะหน้าตาของมันดูหล่อเท่และร่วมสมัยเอาเสียมากๆ สาม เมื่อเริ่มสังเกตลงไปในรายละเอียดบนหน้าปัด เราแอบเดาไว้ในใจเลยว่า หน้าปัดย่อยทั้งสามนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เอาเป็นว่า เรามาเริ่มเจาะรายละเอียดไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า



UR-10 SpaceMeter มาในตัวเรือนสเตนเลสสตีลและไทเทเนียมที่มีความหนาเพียง 7.13 มม. ซึ่งจัดว่าบางกว่าตัวเรือนของ URWERK รุ่นอื่นๆ ไม่เพียงแต่เพรียวบางเท่านั้นแต่ความเรียบง่ายของตัวเรือนยังแฝงไว้ด้วยรายละเอียดซับซ้อน ด้วยฝาหลังสเตนเลสสตีลขันสกรูตัวยาวประกบตัวเรือนจากด้านข้าง ซึ่งทำให้ตัวเรือนดูเรียบ เพรียวบางและดูสมมาตร ตามที่ Martin Frei ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ได้อธิบายไว้ว่า
“โครงสร้างขันสกรูด้านข้างตามแบบ Gérald Genta เป็นเอกลักษณ์ของนาฬิการะดับตำนาน ตัวเรือนมีเพียงสองชิ้น ไม่มีวงแหวนรอบขอบหน้าปัด แม้ดูเรียบง่าย แต่ซับซ้อนอย่างยิ่ง”
Martin Frei – Co-founder & Creative Director URWERK
เข็มนาฬิกาทรงไซริงค์ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับ URWERK รวมถึงหน้าปัดผลิตขึ้นในเวิร์กช็อปของแบรนด์เอง ดังนั้น จึงวางใจได้ในความเนี้ยบและดีไซน์ที่คงความออริจินัลของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน
ฟังก์ชันทางดาราศาสตร์ครั้งแรกในโลก
จุดเด่นที่ใครๆ ต่างก็สังเกตเห็นเป็นลำดับต้นๆ ย่อมเป็นหน้าปัดย่อยทั้งสามที่ดึงดูดสายตา และชวนให้สงสัยว่าแต่ละวงทำหน้าที่อะไรกันแน่ ซึ่งต้องบอกว่า ทั้งสามหน้าปัดย่อยที่ไม่ได้ทำหน้าที่จับเวลาเหมือนอย่างนาฬิกาโครโนกราฟ และยังไม่ได้ทำหน้าที่บอกวันที่ หรือวันประจำสัปดาห์ใดๆ ตามฟังก์ชันนาฬิกาปฏิทินที่เรารู้จักกันดี แต่กลับทำหน้าที่ประดุจเครื่องมือทางดาราศาสตร์ นั่นก็คือทำหน้าที่วัดระยะทางซึ่งโลกของเราเคลื่อนผ่านในห้วงอวกาศและเวลา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีนาฬิกาฟังก์ชันนี้เกิดขึ้น แต่ละหน้าปัดย่อยทำหน้าที่แตกต่างกันดังนี้

- หน้าปัด EARTH ณ ตำแหน่ง 2 นาฬิกา ใช้วัดระยะทางที่โลกหมุนรอบตัวเองในแต่ละวัน โดยแสดงผลทุกระยะทาง 10 กิโลเมตร แบ่งระยะอย่างละเอียดเป็นช่วงละ 500 เมตร
- หน้าปัด SUN ณ ตำแหน่ง 4 นาฬิกา แสดงระยะทางที่โลกเคลื่อนที่บนวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยขยับทุกๆ 20 กิโลเมตร และแสดงค่าทุกระยะทาง 1,000 กิโลเมตร
- หน้าปัด ORBIT ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา ทำหน้าที่รวมเส้นทางการหมุนรอบตัวเองและการโคจรรอบดวงอาทิตย์เข้าด้วยกัน โดยแสดงผลบนสองสเกลที่เคลื่อนที่สอดประสานกัน หนึ่งสเกลสำหรับทุกๆ 1,000 กิโลเมตรของการหมุนรอบตัวเอง และอีกหนึ่งสเกลสำหรับทุกๆ 64,000 กิโลเมตรของการโคจรรอบดวงอาทิตย์

เมื่อพลิกดูด้านหลังตัวเรือนยังต้องทึ่งกับรายละเอียดที่ได้เห็น ไม่เพียงแต่สวยงามชวนมอง แต่ยังพ่วงมากับฟังก์ชันเชิงดาราศาสตร์ที่ผ่านการคิดมาเป็นอย่างดี โดยเข็มวงนอกจะชี้บอกเวลาแบบ 24 ชั่วโมง สะท้อนการหมุนรอบตัวเองของโลกครบหนึ่งรอบ บนฝาหลังสลักคำว่า ‘Rotation’ ที่สื่อถึงการหมุนรอบตัวเอง และ ‘Revolution’ สื่อถึงการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทั้งยังเติมกิมมิกลงไปในการหมุนของ Rotation ที่ต้องอ่านตามเข็มนาฬิกา ขณะที่ Revolution กลับอ่านทวนเข็มนาฬิกา สาเหตุที่ทั้งสองต้องหมุนสวนทางกันก็เพื่อเป็นการล้อไปกับการโคจรรอบตัวเองของโลกที่สวนทางกับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของวันเวลาที่เป็นไปบนโลกและห้วงอวกาศ ทั้งหมดนี้คือฟังก์ชันที่ผ่านกระบวนการคิดมาอย่างซับซ้อน และเต็มไปด้วยความหมายที่สื่อสารถึงเวลาที่ดำเนินไปไกลกว่าที่เป็นบนผืนโลก
กลไกซับซ้อนและสิทธิบัตรเฉพาะ
ในเมื่อฟังก์ชันเต็มไปด้วยความซับซ้อนสูงกลไกที่ขับเคลื่อนก็ย่อมไม่ธรรมดา ตามที่ Felix Baumgartner ได้อธิบายไว้ว่า กลไกขับเคลื่อน UR-10 SpaceMeter นั้นเป็นการพัฒนาผ่านความร่วมมือระหว่าง Vaucher Manufacture เพื่อให้ตอบโจทย์ฟังก์ชันและดีไซน์ที่เรียบง่ายได้อย่างลงตัวที่สุด ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านการบริหารจัดการน้ำหนักและพลังงาน โดยเลือกคงไว้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ได้น้ำหนักเบา แต่มอบพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพ กลไกนี้จึงเลือกใช้เฟืองห้าแกนหมุนบนทับทิมเพื่อลดแรงเสียดทาน พร้อมระบบควบคุมพลังงานที่เสถียร สามารถถ่ายทอดจังหวะการทำงานสองแบบในกลไกเดียว การเลือกใช้เฟืองแบบสเกเลตันทำให้ได้น้ำหนักเบาเพียงแค่ 0.015 – 0.009 กรัม หรือเบาหวิวเทียบเท่าขนตาหนึ่งเส้นเท่านั้นเอง จึงสามารถประหยัดพลังงานสูงสุดแต่ยังคงความแม่นยำและทรงพลัง

นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยชิ้นส่วนใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรคือ Double Flow Turbine ที่เป็นวิวัฒนาการอีกขั้นของระบบขึ้นลานอัตโนมัติแบบทิศทางเดียวของ URWERK มาพร้อมใบพัดสองชุดซ้อนกัน หมุนในทิศทางตรงข้ามกัน โดยเทอร์ไบน์แบบคู่นี้จะช่วยสร้างกระแสลมระหว่างใบพัดทั้งสองชุด ช่วยชะลอความเร็วและปกป้องกลไกจากการสึกหรอ และแน่นอนว่า การเฝ้ามองดูเทอร์ไบน์แบบคู่หมุนในทิศทางตรงกันข้ามนั้นสะกดให้เราต้องจ้องมองอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา
เมื่อพิจารณาจากทุกองค์ประกอบของ UR-10 SpaceMeter แล้ว ต้องยอมรับว่า การเปิดตัวในครั้งนี้มาพร้อมเซอร์ไพรส์ที่เหนือความคาดหมาย แต่แท้จริงแล้วยังคงรักษาแก่นแท้ของ URWERK ไว้ได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน และทำให้เราตั้งตารอผลงานในอนาคตของสองคู่หูที่นำเสนอมิติใหม่ในการบอกเวลาได้อย่างน่าตื่นตาในทุกๆ ครั้ง

ข้อมูลทางเทคนิค
กลไก: กลไกอัตโนมัติแบบขึ้นลานด้วยตนเอง UR-10.01 พัฒนาโดย URWERK พร้อมบาร์เรลคู่
Dual Flow Turbines ที่ผ่านการจดสิทธิบัตร สำรองพลังงานได้ 43 ชั่วโมง
ฟังก์ชัน: เข็มชี้กลางหน้าปัดแสดงเวลาชั่วโมงและนาที
เคาน์เตอร์แสดงระยะทางโลกที่เส้นศูนย์สูตร / 10 กิโลเมตร ในตำแหน่ง 2 นาฬิกา
เคาน์เตอร์แสดงการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของโลก / 1,000 กิโลเมตร ในตำแหน่ง 4 นาฬิกา
เคาน์เตอร์แสดงระยะทางแบบวงกลมซ้อนกัน ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา
บอกชั่วโมงแบบ 24 ชั่วโมง ที่ด้านหลังตัวเรือน
โลกหมุนรอบตัวเองและการโคจรบนสเกล 24 ชั่วโมง ที่ด้านหลังตัวเรือน
ตัวเรือน: ไทเทเนียมขัดแซนด์บลาสต์ ฝาหลังสเตนเลสสตีลขัดแซนด์บลาสต์ กันน้ำได้ 30 เมตร
หน้าปัด: เคลือบ PVD สีดำหรือสีเทา ตกแต่งลวดลายวงกลมโค้งมนขัดแซนด์บลาสต์แบบบาง
สาย: ไทเทเนียมขัดแซนด์บลาสต์ ข้อต่อเดี่ยว พร้อมบานพับล็อกไทเทเนียม
จำนวน: ตัวเรือนไทเทเนียมจำนวน 25 เรือน และ ตัวเรือนสีดำ 25 เรือน

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่:
Past/Present/Future บทสนทนาว่าด้วยอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ URWERK
Girard-Perregaux Laureato FIFTY การกลับมาของตำนานครึ่งศตวรรษในรูปลักษณ์ใหม่

