Piaget กับเบื้องหลังความหรูหราที่เรียบง่าย จากโรงงานเล็ก ๆ สู่ Maison ระดับโลก

Date:

เบื้องหลัง Piaget ความหรูหราที่เรียบง่าย กับเรื่องราว “Extraleganza”

หากคุณเคยได้ยินชื่อ Piaget คุณอาจนึกถึงภาพของนาฬิกาและเครื่องประดับที่เปล่งประกายด้วยเพชรและทองคำอย่างหรูหราอลังการ แต่ในฐานะผู้หลงใหลในเรือนเวลา เรามองเห็นบางสิ่งที่ไม่ใช่แค่ความงามภายนอก เพราะเบื้องหลังความเลิศหรูเหล่านั้นคือเรื่องราวที่เรียบง่ายกว่าที่คิด และนั่นเองที่ทำให้แบรนด์นี้มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ในวงการได้อย่างน่าสนใจ

ในยุคที่ผู้คนมองหาความหรูหราที่จับต้องได้และมีเรื่องราวที่น่าติดตาม เราจะพาไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Piaget ว่าทำไมแบรนด์ที่เริ่มต้นจากโรงงานเล็ก ๆ ในสวิตเซอร์แลนด์จึงสามารถครองใจผู้คนได้ทั่วโลก และอะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกนิยามว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ Extraleganza การผสานความหรูหราเข้ากับความสง่างามได้อย่างลงตัวในแบบฉบับของตัวเอง

รากฐานจากช่างฝีมือสู่ผู้สร้างนวัตกรรม

หากจะทำความเข้าใจ Piaget อย่างแท้จริง เราต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายกว่าที่เราจินตนาการไว้มากในปี 1874 ที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ La Côte-aux-Fées ในสวิตเซอร์แลนด์ Georges-Édouard Piaget ผู้ก่อตั้งแบรนด์ เป็นเพียงช่างนาฬิกาหนุ่มคนหนึ่งที่เริ่มต้นธุรกิจผลิตกลไกนาฬิกาให้กับแบรนด์อื่น ๆ ในวงการ แต่สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นและแตกต่างคือความหลงใหลในการสร้าง “กลไกนาฬิกาที่บางเป็นพิเศษ”

ในยุคนั้น การสร้างกลไกที่บางเฉียบไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามเพียงเท่านั้น อาจเป็นการแสดงออก หรือบ่งบอกถึงความสามารถทางวิศวกรรมขั้นสูงสุด เพราะชิ้นส่วนทุกชิ้นต้องถูกออกแบบและประกอบเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำที่สุดเพื่อให้กลไกยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความมุ่งมั่นในงานฝีมือที่พิถีพิถันนี้เองที่ทำให้ชื่อเสียงของ Piaget เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกลไกที่บางเป็นพิเศษ และได้กลายเป็น DNA สำคัญที่ส่งต่อมายังคนรุ่นหลัง ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงให้แบรนด์ก้าวสู่ระดับโลกในเวลาต่อมา

นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกนาฬิกา

เมื่อ Gerald และ Valentin สองหลานชายของ Georges-Édouard เข้ามารับช่วงต่อ ภารกิจของพวกเขาไม่ใช่แค่การสืบทอดงานฝีมือ กลับกลายเป็นการก้าวกระโดดสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างเต็มตัว ซึ่งนำไปสู่การสร้างผลงานที่พลิกโฉมวงการนาฬิกาไปตลอดกาล ในปี 1957 Piaget ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดตัว Calibre 9P กลไกไขลานที่บางที่สุดในโลกในขณะนั้น ด้วยความหนาเพียง 2 มิลลิเมตร กลไกนี้ทำให้ดีไซเนอร์มีอิสระในการออกแบบหน้าปัดและตัวเรือนได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

ความสำเร็จยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะสามปีต่อมาในปี 1960 พวกเขาได้สร้างนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วย Calibre 12P กลไกอัตโนมัติที่บางที่สุดในโลกด้วยความหนาเพียง 2.3 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้ Piaget กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฬิกาที่บางพิเศษอย่างแท้จริง นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ใช่แค่การทำลายสถิติ ยังเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ดีไซน์นาฬิกาของ Piaget มีความโดดเด่นและสง่างามได้อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

นาฬิกาอัลตร้า-ทินแต่ละเรือนคือผลงานชิ้นเอกที่ถือกำเนิดจากความเชี่ยวชาญและความหลงใหลร่วมกันของช่างฝีมือผู้ทุ่มเทของ Piaget ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมดุลระหว่างฟังก์ชันการใช้งาน ความทนทาน และความงาม

อาณาจักรแห่งทองคำ ผ่านงานศิลปะที่สวมใส่ได้

Piaget ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความเชี่ยวชาญด้านกลไกนาฬิกา แบรนด์ยังคงขยายอาณาจักรไปสู่งานเครื่องประดับชั้นสูงอย่างเต็มตัว และการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เองที่พลิกโฉมแบรนด์เกิดขึ้นในปี 1957 เมื่อพวกเขาประกาศว่าจะใช้ ทองคำและแพลทินัมเท่านั้น ในการผลิตนาฬิกาและเครื่องประดับ ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนที่กล้าหาญและชัดเจนในเรื่องความหรูหราที่ไม่มีใครเหมือน

การตัดสินใจนี้ทำให้ Piaget ต้องควบคุมกระบวนการผลิตทั้งหมดด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ จนต้องลงทุนสร้างโรงหล่อทองคำเป็นของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพของวัสดุจะเป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดเสมอ ความเชี่ยวชาญในทองคำทำให้เกิดเทคนิคที่โดดเด่นอย่าง “Palace Decor” เป็นการแกะสลักทองคำให้เกิดลวดลายคล้ายผ้าไหมหรือเปลือกไม้ที่ต้องใช้ฝีมือและความประณีตขั้นสูง เทคนิคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เครื่องประดับของ Piaget มีเอกลักษณ์ กลับเป็นการเปลี่ยนสถานะของทองคำให้กลายเป็นงานศิลปะที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน

ทีมงานเดียวกันที่อยู่เบื้องหลังผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้ ได้ผสมผสานกับลูกค้าที่ปฏิเสธแฟชั่นเดิมๆ ในอดีต และแสวงหาเสน่ห์ใหม่ที่ผสมผสานความทันสมัยและสีสันเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้น ในปี 1966 เพียเจต์จึงได้เปิดตัวนาฬิกาหน้าปัดประดับเรือนแรก

การเล่นกับรูปทรง “PLAY OF SHAPES”

หนึ่งในปรัชญาสำคัญของ Piaget คือการหลุดออกจากกรอบเดิมๆ และเล่นกับรูปทรงอย่างกล้าหาญและมีอิสระจิตวิญญาณ ภายใต้แนวคิด “PLAY OF SHAPES” ซึ่งเริ่มต้นอย่างเด่นชัดในช่วงทศวรรษ 1960s

ในปี 1969 Piaget ได้เปิดตัว 21st Century Collection ที่กลายเป็นตำนาน ซึ่งนำเสนอ “นาฬิกาที่บอกเวลา” ในรูปแบบใหม่ที่เป็นเครื่องประดับชั้นสูงที่เปี่ยมด้วยความล้ำสมัย เช่น กำไลข้อมือ (cuffs) แบบฉลุลาย หรือสร้อยคอ (sautoirs) ที่มีนาฬิกาห้อยระย้า Yves Piaget กล่าวไว้ว่า “A Piaget watch is first and foremost a piece of jewellery” (นาฬิกาของ Piaget เป็นเครื่องประดับเป็นอันดับแรก)

คอลเลกชันนี้โดดเด่นด้วยรูปทรงที่หลากหลายและคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นรูปวงรีแทนวงกลม รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในสัดส่วนที่แปลกตา หรือแม้กระทั่งรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู (trapeze) ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งภายหลัง Piaget ก็ยังคงเล่นกับรูปทรงเรขาคณิตอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทรงแปดเหลี่ยม และหกเหลี่ยม

ในปี 1972 นาฬิการุ่นหนึ่งที่มีรูปทรงเบาะ (cushion shape) ซึ่งเคยเป็นที่โปรดปรานของ Andy Warhol ได้ถูกตั้งชื่อใหม่เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาว่า “Andy Warhol watch” และในปี 1973 นาฬิกาที่ต่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคอลเลกชัน Limelight Gala ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น โดยมีดีไซน์ที่หรูหราลื่นไหล ตัวเรือนทรงกลมที่มีขาตัวเรือน (lugs) แตกออกมาและเชื่อมต่อกับสายอย่างลงตัว

เสน่ห์แห่งความสัมพันธ์และสไตล์ส่วนตัว

เสน่ห์ของ Piaget ไม่ได้มีแค่ในตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น ทว่ายังคงฝังอยู่ในความสัมพันธ์ที่แบรนด์สร้างกับผู้คน และผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในเรื่องนี้คือ Yves Piaget ผู้สานต่อมรดกของแบรนด์ในช่วงยุค 1960s เขามองว่าลูกค้าไม่ใช่แค่ผู้ซื้อ แต่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Piaget และด้วยแนวคิดนี้ทำให้เขาสร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับลูกค้าคนสำคัญได้เหมือนเป็นเพื่อน

ความงดงามอันน่าหลงใหลของทองคำที่หลอมละลายได้นั้นดึงดูดใจเหล่าศิลปินมาอย่างยาวนาน Salvador Dali เองก็เช่นกัน เขาสนใจความเชื่อมโยงของทองคำกับศาสตร์ลึกลับและการเล่นแร่แปรธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนตร์เสน่ห์ของเหรียญทองคำและเหรียญตราต่าง ๆ ในช่วงปลายทศวรรษ 1960s เขาได้ผลิตเหรียญชุดของตัวเองออกมา ซึ่งมีน้ำหนักและมูลค่าแตกต่างกันไป โดยแกะสลักเป็นภาพใบหน้าด้านข้างของตัวเขาและภรรยาที่ชื่อ Gala เขาเรียกเหรียญชุดนี้ว่า Dali D’Or

ยกตัวอย่างเช่น บริการ “Style Selector” ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าอย่างศิลปินชื่อดังอย่าง Andy Warhol สามารถเข้ามาเลือกและออกแบบนาฬิกาของตัวเองได้อย่างอิสระ บริการนี้สะท้อนให้เห็นว่า Piaget ให้ความสำคัญกับความต้องการและรสนิยมของลูกค้าแต่ละคนอย่างแท้จริง

มรดกแห่ง “Extraleganza” ที่คงอยู่

เมื่อมองย้อนกลับไปถึงการเดินทางของ Piaget จากโรงงานนาฬิกาเล็ก ๆ ในหมู่บ้านของสวิตเซอร์แลนด์ สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกที่โดดเด่นทั้งในด้านนวัตกรรมและศิลปะ เราจะเห็นได้ว่าหัวใจสำคัญของแบรนด์นี้คือการผสานความหรูหราเข้ากับความเรียบง่ายได้อย่างลงตัว การที่พวกเขายืนหยัดในงานฝีมือที่พิถีพิถัน และความกล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ คือสิ่งที่ทำให้ Piaget สามารถสร้างมรดกที่ล้ำค่าและคงอยู่เหนือกาลเวลาได้อย่างแท้จริง

จากช่างนาฬิกาผู้หลงใหลในความบางเฉียบ สู่ผู้สร้างอาณาจักรแห่งทองคำและงานศิลปะที่สวมใส่ได้ ความสง่างามที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครของ Piaget จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจและสร้างความประทับใจให้กับคนรักนาฬิกาและเครื่องประดับทั่วโลกต่อไปในอนาคต

ทำไม Piaget ถึงนิยามตัวเองว่าคือ “Maison of Extraleganza”? เพราะพวกเขาเชื่อว่าศิลปะที่แท้จริงคือการผสมผสานความหรูหราเข้ากับความสง่างามได้อย่างลงตัว แล้วคุณผู้อ่านล่ะ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับปรัชญาของ Piaget และผลงานชิ้นไหนของพวกเขาที่สร้างความประทับใจให้คุณมากที่สุด?

อ่านบทความน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติม
4 นาฬิกากอล์ฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Happy Gilmore 2
Moritz Grossmann: เจาะลึกประวัติ เบื้องหลังงานฝีมือและ 5 รุ่นน่าสะสม
การบูมของ F1 ในตลาดลักซ์ชัวรี กีฬาต่อไปจะเป็นจักรยานหรือเรือใบ? 

Share post:

More like this

Louis Vuitton Tambour Convergence สไตล์วินเทจมินิมัลที่ดูร่วมสมัย พร้อมลีลาการบอกเวลาที่แตกต่าง

เมื่อ Louis Vuitton เล็งเห็นเสน่ห์ในเรือนเวลา Jump Hour และผสานเข้ากับตัวตนของเมซงได้อย่างลงตัว กลายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่นาฬิกา jump hour...

นาฬิกาหรูจะไปทางไหน? สรุปประเด็นร้อน เจาะลึกทุกมุมมองจาก FHH Watch Summit ครั้งแรกที่ New York

สรุปประเด็นร้อนจากการประชุม FHH Watch Summit ครั้งประวัติศาสตร์ที่ New York ผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 คนถกกันถึงอนาคตนาฬิกาหรู เมื่อคนรุ่นใหม่ (Millennial & Gen Z) ให้ความสำคัญกับ 'งานฝีมือ' เหนือชื่อแบรนด์ และทำให้ 'ตลาดมือสอง' กลายเป็นทางเข้าหลักของวงการ

รวมนาฬิกา tourbillon จากหลากแบรนด์ในปี 2025

สุดยอดกลไกที่เชื่อถือได้ในความเที่ยงตรงจากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำที่น่าจับตามองในปีนี้ ความเที่ยงตรงของนาฬิกาข้อมือที่เราใช้ในยุคปัจจุบันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลของแรงโน้มถ่วงเหมือนนาฬิกาพกในสมัยอดีต แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหลงใหลที่มีต่อคอมพลิเคชันที่เรียกว่า tourbillon ลดน้อยลงเลย ดูจากตัวอย่างผลงานที่แบรนด์ต่างๆ นำเสนอในปีนี้ นั่นเป็นเพราะทูร์บิญองได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นนาฬิกาชั้นสูง แถมยังเป็นเหมือนแคนวาสให้แบรนด์นาฬิกาชั้นนำต่างๆ ได้ประลองความคิดสร้างสรรค์ด้วย  ‘ทูร์บิญอง’...