WORDS Katherine Arteche
ถ้าหาก Reverso มีชีวิต..จะมีกลิ่นแบบไหน?
เอาจริงๆ พอได้อ่านเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งก็รู้สึกว่า นี่มันเป็นการร่วมงานที่น่าสนใจมาก ถึงแม้บทความนี้จะไม่ได้ใหม่แล้ว แต่กลับทำให้เราเห็นมุมมองที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยจริงๆ กับการจับมือกันระหว่าง Jaeger-LeCoultre และ Nicolas Bonneville นักปรุงน้ำหอมชื่อดังจากฝรั่งเศส
ในโปรเจกต์ “Made of Makers” ของ Jaeger-LeCoultre ที่เป็นโครงการที่ผสมผสานงานศิลปะและความเชี่ยวชาญจากหลายๆ สาขา ทั้งยังคงคอนเซ็ปต์ของการสร้างสรรค์ที่มุ่งมั่นและไร้กาลเวลา โดย Nicolas Bonneville ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักปรุงน้ำหอมที่มีความคิดสร้างสรรค์และล้ำหน้าของยุคนี้ ได้ออกแบบน้ำหอมสุดพิเศษถึง 3 กลิ่น
กลิ่นแรกคือ “The Timeless Stories” ที่ดึงดูดความรู้สึกถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกเล่าเรื่องผ่านเวลานับร้อยปี”The Celestial Odyssey” ที่พาเราก้าวไปสู่การผจญภัยในจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด และ “The Precision Pioneer” ที่เฉลิมฉลองความแม่นยำอันเป็นสัญลักษณ์ของ Jaeger-LeCoultre
ทุกกลิ่นไม่เพียงแค่เป็นน้ำหอมที่หรูหรา แต่เป็นการเล่าเรื่องของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง และเป็นการสร้างสัมผัสที่พิเศษและยากจะลืมเลือน เสมือนกับการที่ Reverso ซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร กลับกลายเป็นเรื่องราวที่จับต้องได้ในรูปของกลิ่นหอมอันล้ำค่า
ใครจะคิดว่าในโลกของนาฬิกาหรู ยังสามารถสร้างสรรค์งานที่หลากหลายและสะท้อนความหรูหราออกมาได้ในหลายมิติแบบนี้? เอาจริงๆ ตอนนี้น้ำหอมสามกลิ่นนี้เริ่มจะเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นแล้ว และถ้าคุณยังไม่ได้ลองหามาสักขวด…อาจจะยังไม่รู้เลยว่าคุณพลาดอะไรไป


3 กลิ่นดั้งเดิมสำหรับ Jaeger-LeCoultre
กลิ่นแรก “The Timeless Stories” ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกา Reverso อันเป็นสัญลักษณ์ โดย Nicolas Bonneville ได้ผสมผสานกลิ่นไม้และหนังเข้าด้วยกัน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นของอานหนังและหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ กลิ่นของใบไวโอเล็ต ออริส และหนังผสานกันอย่างลงตัว สร้างกลิ่นที่ทั้งแข็งแกร่งและประณีต เพื่อสะท้อนถึงธรรมชาติของ Reverso ที่มีความหลากหลายและคู่ขนานเหมือนกันสวยงามแต่ทนทาน
กลิ่นนี้เหมือนกับการถ่ายทอดความคลาสสิกของ Reverso ที่ไม่เคยตกยุค แต่อยู่ในทุกช่วงเวลาอย่างไร้ที่สิ้นสุด มันเหมือนเป็นการผสมผสานของความดิบและความสง่างามอย่างสมบูรณ์แบบที่ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของน้ำหอมที่บอกเล่าความประณีตและความสง่างามของแบรนด์ได้อย่างลึกซึ้ง

ถัดมาที่กลิ่นที่สอง “The Celestial Odyssey” เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองการเดินทางในจักรวาลด้วยกลิ่นที่อบอุ่นและเผ็ดร้อน ซึ่งผสมผสานของแพตชูลี แอมเบอร์วูดส์ และวานิลลา ให้ความรู้สึกเหมือนกับท้องฟ้าที่ถูกโอบล้อมด้วยแสงจันทร์ เป็นการแสดงความเคารพต่อดวงดาวที่เคยเป็นผู้ชี้นำทางเดินของนักเดินเรือในอดีต พร้อมทั้งเป็นการอ้างอิงทางกวีถึงความชำนาญของ Jaeger-LeCoultre ในศาสตร์ทางดาราศาสตร์ของการทำนาฬิกา
กลิ่นนี้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ได้สัมผัสเหมือนกับได้เดินทางผ่านเส้นทางของจักรวาล เหมือนการล่องลอยไปในคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาว ที่ให้ความรู้สึกถึงความลึกลับและความอัศจรรย์ของสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากโลกนี้ และเช่นเดียวกับ Reverso ที่เป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมและประวัติศาสตร์ น้ำหอมกลิ่นนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดในโลกของเวลาและความรู้ทางดาราศาสตร์
และสุดท้าย…กลิ่นที่สามกับชื่อว่า “The Precision Pioneer” กลิ่นนี้เหมือนการพาทุกคนเข้าไปนั่งอยู่กลางโรงงานผลิตนาฬิกาของ Jaeger-LeCoultre ในหุบเขา Vallée de Joux ที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์
Nicolas Bonneville เลือกใช้อินเซนส์ (ธูปหอม) และกลิ่นไม้ที่อบอุ่นเพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณของช่างนาฬิกาได้อย่างละเมียดละไม กลิ่นของอินเซนส์สื่อถึงไฟอันรุ่มร้อนในเตาหลอมของช่างเหล็ก ที่ทุกประกายเปลวไฟคือจุดเริ่มต้นของผลงานชิ้นเอก ขณะเดียวกัน Vibrant Wood ก็ชวนให้นึกถึงกลิ่นโต๊ะทำงานของช่างนาฬิกา โต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องมือจิ๋ว ฝุ่นไม้ละเอียด และความเงียบที่มีเพียงเสียงจักรกลจังหวะสม่ำเสมอของเวลา
ทั้งหมดนี้หลอมรวมเป็นกลิ่นที่บอกเล่าเรื่องราวของงานฝีมือ ความละเอียดอ่อน และมรดกที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เหมือนกับกลไกของนาฬิกาที่ไม่มีวันหยุดเดิน นิ่ง เงียบ แต่น่าเกรงขามในทุกวินาทีที่ผ่านไป


ขอเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวของ Nicolas Bonneville เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่เขาเติบโตและซึมซับวัฒนธรรมของกลิ่นหอมตั้งแต่วัยเยาว์ จุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเขาอายุเพียง 12 ปี การได้เดินทางไปยังเมือง Grasse เมืองหลวงแห่งวงการน้ำหอมของฝรั่งเศส กลายเป็นประสบการณ์ที่จุดประกายความหลงใหลอย่างลึกซึ้งในโลกของกลิ่น
ตั้งแต่นั้นมา Bonneville ก็เริ่มเดินทางในเส้นทางของตัวเองอย่างเงียบๆ โดยไม่รอให้ใครมาปูทาง เขาฝึกฝนด้วยตัวเอง ทดลองปรุงกลิ่นจากวัตถุดิบรอบตัวภายในบ้านอย่างจริงจัง ราวกับนักเล่นแร่แปรธาตุที่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง
ความมุ่งมั่นและพรสวรรค์ของเขาไม่ได้ถูกซ่อนไว้นานนัก ไม่นานก็ได้รับการชี้แนะจากสองปรมาจารย์แห่งโลกน้ำหอม Jacques Maurel และ Francis Kurkdjian ที่เล็งเห็นแววและคอยแนะนำเขาในช่วงเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพ เส้นทางที่ในวันนี้ได้พาเขามาร่วมสร้างกลิ่นหอมแห่งตำนานร่วมกับ Jaeger-LeCoultre อย่างสง่างาม
“ในโลกของน้ำหอมก็ไม่ต่างอะไรกับการวาดภาพ” Bonneville กล่าวอย่างจริงจัง “ความบริสุทธิ์ของการผสมเป็นหัวใจสำคัญ”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า การรังสรรค์น้ำหอมที่ดีไม่ใช่เรื่องของการใส่ทุกอย่างที่มีกลิ่นหอมลงไปจนล้น แต่กลับกัน ต้องรู้จักควบคุมปริมาณของวัตถุดิบแต่ละชนิดให้พอดี เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของกลิ่นดั้งเดิมไว้ ไม่ให้มันถูกเจือจางจนเสียเสน่ห์
“หลักการ ‘น้อยแต่มาก’ คือสิ่งที่ผมยึดถือมาเสมอ” เขากล่าว “เพราะน้ำหอมที่ดี ไม่ได้ต้องการความซับซ้อนเกินจำเป็น แต่มันควรมีความชัดเจน ลุ่มลึก และแสดงตัวตนอย่างมีเอกลักษณ์”

น้ำหอมทั้งสามกลิ่นที่รังสรรค์โดย Nicolas Bonneville ไม่ได้ถูกวางจำหน่ายทั่วไป หากแต่ถูกจัดเตรียมขึ้นเป็นพิเศษเพื่อมอบประสบการณ์เฉพาะตัวให้กับลูกค้าของ Jaeger-LeCoultre โดยเฉพาะ
กลิ่นหอมเหล่านี้จะถูกใช้เป็นเสมือนสัมผัสสุดท้ายของความพิถีพิถันในบริการ เป็นกลิ่นที่ห่อหุ้มความหรูหรา ความตั้งใจ และจิตวิญญาณของแบรนด์ไว้ในแต่ละหยด และในอนาคต น้ำหอมเหล่านี้ยังอาจจะปรากฏอยู่ในกิจกรรมหรือแคมเปญพิเศษอื่น ๆ ที่แบรนด์จะหยิบมาใช้ เพื่อสื่อสารเรื่องราวของศิลปะ งานฝีมือ และมรดกที่แบรนด์ภาคภูมิใจ
เพราะสำหรับ Jaeger-LeCoultre แล้ว…ทุกสัมผัส แม้แต่กลิ่น ก็ควรจะเล่าเรื่องได้อย่างไร้ที่ติ
สำหรับโครงการ “Made of Makers” คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า Jaeger-LeCoultre ไม่ได้หยุดอยู่แค่การรังสรรค์นาฬิกา แต่ยังให้ความสำคัญกับโลกของศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ในหลากหลายมิติ
Made of Makers ศิลปะที่มีชีวิตจากหลากสาขา
ภายใต้โครงการนี้ แบรนด์ได้เชิญชวนศิลปินและนักสร้างสรรค์จากหลากหลายสาขามาร่วมตีความคุณค่าหลักของ Jaeger-LeCoultre ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม ประเพณี หรือความเชี่ยวชาญเชิงช่าง ผ่านมุมมองและภาษาของตนเอง เปรียบเสมือนการจับมือกันระหว่างศิลปะดั้งเดิมกับจินตนาการร่วมสมัย
ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ เสียง ดนตรี หรือแม้กระทั่งน้ำหอม แต่ละชิ้นงานที่เกิดขึ้นภายใต้ Made of Makers ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการทำให้ความคลาสสิกยังคงเคลื่อนไหว มีชีวิตชีวา และสามารถพูดกับผู้คนในยุคปัจจุบันได้อย่างลึกซึ้งไม่แพ้วันวาน
จนถึงตอนนี้ ชุมชน Made of Makers ได้กลายเป็นพื้นที่แห่งการรวมตัวของศิลปินผู้เปี่ยมวิสัยทัศน์จากหลากหลายวงการ ตั้งแต่งานศิลปะร่วมสมัย ศิลปะจัดวาง ดนตรี จนถึงศาสตร์แห่งอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีศิลปินระดับนานาชาติร่วมสร้างสรรค์มาแล้วมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น Zimoun ศิลปินสื่อผสมจากสวิตเซอร์แลนด์, Michael Murphy เจ้าของผลงานแอนาโมร์โฟซิสจากสหรัฐฯ, Guillaume Marmin ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะแสงจากฝรั่งเศส, Alex Trochut ศิลปินอักษรวิจิตรจากสเปน/สหรัฐฯ, เชฟขนมหวาน Nina Métayer, มิกโซโลจิสต์ชื่อดัง Matthias Giroud, Yiyun Kang ศิลปินดิจิทัลจากเกาหลีใต้, นักดนตรีผู้มากฝีมือ TØKIO M¥ERS จากสหราชอาณาจักร, Brendi Wedinger ศิลปินมัลติมีเดียจากสหรัฐฯ, เชฟ Himanshu Saini จากอินเดีย ไปจนถึง Roy Wang ศิลปินไฟถนนจากจีน
และล่าสุด การร่วมงานกับ Nicolas Bonneville ก็ได้ขยายพรมแดนของโครงการนี้เข้าสู่โลกของ “น้ำหอม” อย่างเป็นทางการ กลิ่นหอมที่เขารังสรรค์จึงเปรียบดังผลงานจากปลายจมูก และคือบทสนทนาใหม่ของศิลปะ ที่ Jaeger-LeCoultre ตั้งใจจะให้มันสื่อสารกับทุกประสาทสัมผัสของผู้รับอย่างงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกเรือนเวลาสุดล้ำได้ที่ Revolution Thailand แหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับนักสะสมนาฬิกาตัวจริง
ภาพ | ที่มา: Jaeger-LeCoultre

