Jean-Pierre Hagmann ช่างฝีมือผู้รังสรรค์เสียงแห่งเวลา และพลิกโฉมวงการนาฬิกาด้วยสองมือและหัวใจ เส้นทางชีวิตจากความบกพร่อง สู่ปรมาจารย์ผู้สร้างสรรค์เรือนนาฬิกาซับซ้อนที่โลกต้องจดจำ
WORDS: Tania Edwards
แปลโดย: Chakhriya. S
ข่าวการจากไปของ ฌอง-ปิแอร์ ฮากมันน์ (Jean-Pierre Hagmann) เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2025 ในวัย 84 ปี นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของโลกแห่งนาฬิกาอย่างแท้จริง แม้ชื่อของเขาอาจไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเหมือนแบรนด์นาฬิการะดับโลก แต่สำหรับนักสะสมนาฬิกาสวิสชั้นเลิศแล้ว การได้เห็นอักษรย่อ “JHP” ประทับอยู่บนตัวเรือน ก็ราวกับการค้นพบจอกศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเรือนนาฬิกาชิ้นนั้นรังสรรค์ขึ้นจากปลายพู่กันของช่างฝีมือชั้นครู ไม่ใช่การผลิตจากเครื่องจักรใดๆ

เส้นทางชีวิตของ “JHP” จากเด็กผู้บกพร่องทางการได้ยิน สู่ผู้รังสรรค์เสียงแห่งเวลา
ชีวิตของฮากมันน์ที่ถือกำเนิดในปี 1940 แตกต่างจากคนทั่วไป เขาเป็นเด็กที่บกพร่องทางการได้ยินมาตั้งแต่เกิด ทำให้ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนพิเศษ ช่างน่าขันที่ข้อจำกัดทางกายภาพนี้กลับไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเป็นผู้สร้างสรรค์เรือนนาฬิกา Minute Repeater ที่ดีที่สุดในโลก เพราะเสียงระฆังอันกังวานใสที่เปล่งออกมาจากเรือนนาฬิกาของเขานั้นหาใดเทียบได้ ราวกับว่าความบกพร่องทางการได้ยินของเขาถูกชดเชยด้วยสัมผัสอันลึกซึ้งที่มือของเขาได้รังสรรค์ขึ้นมา
ฮากมันน์เติบโตมาในสิ่งที่เขาเรียกว่า “ครอบครัวแห่งการสร้างสรรค์” ที่มักจะประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ด้วยมือเสมอ เขาเริ่มต้นจากการทำของเล่นเองจากไม้และกระดาษแข็ง ก่อนจะพัฒนาไปสู่การประกอบจักรยานคันแรก และแม้กระทั่งรถยนต์คันแรก ด้วยการถอดชิ้นส่วนโมเดลเก่าๆ แล้วประกอบขึ้นมาใหม่ภายในเวลา 4-5 เดือน เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ผมสามารถสร้างอะไรก็ได้ด้วยมือของผม แต่มันต้องใช้ความคิดและการไตร่ตรองอย่างมาก ก่อนจะเริ่มโปรเจกต์ ผมจะค้นคว้า หาหนังสือในเรื่องนั้นๆ และศึกษาผู้คนที่สร้างสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผมได้เรียนรู้จากพวกเขา”

ปัญหาที่ซับซ้อน? แค่แยกมันออกเป็นส่วนๆ
สำหรับฮากมันน์แล้ว ไม่มีปัญหาทางวิศวกรรมใดที่ยากเกินจะแก้ไขได้ เขามักจะบอกกับ เฮลมุท ครอตต์ (Helmut Crott) เพื่อนสนิทของเขาว่า “ถ้าคุณมีปัญหาทางกลไกที่ซับซ้อน คุณต้องแยกมันออกเป็นขั้นตอนเล็กๆ หลายๆ ขั้นตอน” และในอีกโอกาสหนึ่ง เขายังเผยเคล็ดลับที่น่าสนใจว่า “โดยธรรมชาติแล้วผมเป็นคนขี้เกียจ ผมจึงมองหาวิธีแก้ปัญหาทางเทคนิคที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุดเสมอ ซึ่งบ่อยครั้งมันคือวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด” แนวคิด “เรียบง่ายแต่เฉียบคม” นี้เองที่นำไปสู่การแก้ไขความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดในโลกแห่งการประดิษฐ์นาฬิกา
ใครก็ตามที่เคยมีโอกาสได้พบกับฮากมันน์ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์น่าคบหา เขามักจะมีประกายตาที่สดใสและเรื่องราวดีๆ มาเล่าให้ฟังเสมอ ปีเตอร์ ไฟรส์ (Peter Friess) ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Patek Philippe และเป็นเพื่อนสนิทของฮากมันน์กล่าวว่า “การได้ใช้เวลาช่วงเย็นกับเขานั้นสั้นเกินไปเสมอ” เสน่ห์อันน่าหลงใหลนี้อาจมาจากความหลงใหลในศิลปะการแสดงตลกมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุ 16-17 ปี เขาเคยสร้างขบวนพาเหรดตลกๆ สำหรับเทศกาลเจนีวา และจากรายได้ที่ได้จากการเข้าร่วมเทศกาลนั้น เขาได้ซื้อรองเท้าสเก็ตน้ำแข็งคู่แรกมาลองเล่น และเช่นเดียวกับงานอดิเรกอื่นๆ ฮากมันน์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และใช้เวลา 10 ปีต่อมาในการแสดงให้กับรายการทีวี Holiday on Ice โดยมักจะรับบทเป็นตัวตลกที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้คน

จุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนในอาชีพ ช่างทำเรือนนาฬิกาผู้พลิกโฉมอุตสาหกรรม
มารดาของฮากมันน์มองเห็นแววมาตั้งแต่เด็กว่าเขา “จะต้องสวมเสื้อโค้ทสีขาวเสมอ” และสนับสนุนให้เขาเข้าฝึกอบรมเป็นช่างอัญมณีที่ Geneva’s School of Fine Arts ในปี 1957 เขาได้เป็นช่างฝึกหัดกับ Ponti Gennari ช่างอัญมณีชื่อดังที่มีเวิร์กช็อปอยู่ใน Atelier Rèunis ซึ่งต่อมากลายเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Patek Philippe ที่ซึ่งผลงานชิ้นเอกของฮากมันน์หลายชิ้นถูกจัดแสดงอยู่ Ponti Gennari ได้เปิดโลกแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาให้แก่ฮากมันน์ในวัยเยาว์
เพราะบริษัทนี้มีชื่อเสียงในการผลิตสายนาฬิกาที่ยอดเยี่ยมให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Patek Philippe ในปี 1961 เขาย้ายไปทำงานกับ Gay Frères ซึ่งเป็นช่างอัญมณีผู้ผลิตสายนาฬิกาอีกแห่ง และใช้เวลาหนึ่งปีในการประกอบสายนาฬิกาให้กับ Rolex ซึ่งเขาพบว่าน่าเบื่อ เขาจึงตัดสินใจกลับไปทำในสิ่งที่กลายเป็นความหลงใหลตลอดชีวิตของเขา นั่นคือ การบูรณะและขี่มอเตอร์ไซค์วินเทจ
ในปี 1968 ฮากมันน์เริ่มต้นอาชีพในการทำเรือนนาฬิกาอย่างเป็นทางการ เมื่อเขาเข้าร่วมกับ Gustave Brera และสร้างชื่อเสียงในฐานะช่างเทคนิคผู้มีฝีมืออย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กว่าที่แนวคิดอันเป็นเอกลักษณ์ของฮากมันน์ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตจะถูกนำมาใช้กับการผลิตเรือนนาฬิกาอย่างแท้จริงนั้น ก็คือในปี 1971 เมื่อเขาเข้าร่วมกับ Jean-Pierre Ecoffey ผู้ผลิตสายนาฬิกา
หลังจากที่เขามาถึงไม่นาน Ecoffey ได้ซื้อกิจการของ Georges Croisier ผู้ผลิตเรือนนาฬิกา (ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ Genevor SA) และฮากมันน์ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแล เขาใช้สัญชาตญาณและความรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อปรับแต่งเครื่องจักรและเครื่องมือในการทำเรือนนาฬิกา จัดระเบียบกระบวนการทำงานใหม่ และฝึกอบรมพนักงาน
หลังจาก 12 ปีที่ดูแลแผนกผลิตเรือนนาฬิกา “อำนาจมันช่างเหนื่อยเหลือเกิน” เขาเคยพูดติดตลกถึงช่วงเวลานี้ เขาได้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ กับการผลิตหน้าปัดนาฬิกาและเข้าร่วมกับ Stern Création อีกครั้ง เขาก็ใช้สัญชาตญาณและความสามารถโดยกำเนิดในการทำความเข้าใจทุกรายละเอียดของกระบวนการแล้วปรับปรุงมันเพื่อพัฒนาหน้าปัดนาฬิกาใหม่ๆ และนำหน้าคู่แข่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขามีความสุข และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกไล่ออกจากงาน ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาก่อตั้งบริษัทของตัวเอง

สร้างสรรค์จากความขาดแคลน สู่ผู้จัดหาชิ้นส่วนให้แบรนด์ระดับโลก
ในปี 1984 ฮากมันน์ได้เปิดเวิร์กช็อปผลิตเรือนนาฬิกาของตัวเองในเจนีวา แม้เขาจะมีชื่อเสียงในเรื่องทักษะอันยอดเยี่ยม แต่การเริ่มต้นจากศูนย์ก็เป็นเรื่องที่ท้าทาย และเช่นเดียวกับความพยายามใหม่ๆ ทุกครั้ง เขาก็ใช้ความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาไม่มีเงินทุนมากนักสำหรับเครื่องจักร จึงดัดแปลงและปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ และเมื่อไม่มีเงินซื้อเครื่องมือมากนัก เขาก็สร้างสิ่งที่จำเป็นขึ้นมาเอง ฮากมันน์คือ “นักแก้ปัญหา” และสิ่งนี้เองที่นำพาให้เขาได้จัดหาชิ้นส่วนให้กับแบรนด์นาฬิกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ตลอด 30 ปีต่อมา เขาได้ทำงานให้กับลูกค้าถึง 33 ราย ซึ่งรวมถึง สเวนด์ แอนเดอร์สัน (Svend Anderson), อาคริเวีย (Akrivia), ออดิมาร์ส ปิเกต์ (Audemars Piguet), คองคอร์ด (Concord), ไบรท์ลิง (Breitling), บลองแปง (Blancpain), อูโบลต์ (Hublot), ฟรองค์ มุลเลอร์ (Franck Müller), โมวาโด (Movado), วาเชอรอง กงสต็องแต็ง (Vacheron Constantin) และที่โด่งดังที่สุดคือ ปาเต็ก ฟิลิปป์ (Patek Philippe)
ด้วยการทำงานร่วมกับผู้ผลิตนาฬิการะดับไฮเอนด์เหล่านี้ ทำให้เขาสามารถเรียนรู้กฎเกณฑ์คลาสสิกของการทำเรือนนาฬิกาได้ เมื่อกฎเหล่านี้เชี่ยวชาญแล้ว เขาก็สามารถ “แหกกฎ” ได้อย่างชาญฉลาด โดยการทำให้เทคนิคการผลิตของเขาง่ายขึ้น แต่ไม่เคยเสียสละคุณภาพและความสวยงามเลย
การทำงานกับลูกค้ารายแรกอย่าง Svend Andersen ทำให้ฮากมันน์ได้เรียนรู้การทำงานกับนาฬิกา Minute Repeater และนาฬิกาพก และทักษะเหล่านี้ไม่นานก็ทำให้ Patek Philippe กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเขา ซึ่งเขาทำงานเฉพาะกับ Minute Repeater และกลไกสลับซับซ้อน (Grand Complications) เท่านั้น ปีเตอร์ ไฟรส์ กล่าวว่า “เขาคือชายผู้อยู่เบื้องหลังตัวเรือนพิเศษที่ไม่มีใครอื่นทำได้”

เสียงที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ คือความอัจฉริยะของ JHP ในการสร้างสรรค์เรือนนาฬิกา Minute Repeater
แม้จะมีข้อจำกัดทางการได้ยิน แต่ฮากมันน์ก็เชี่ยวชาญในสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สุดของการผลิตนาฬิกา นั่นคือ การสร้างเรือนนาฬิกาที่เพิ่มการก้องกังวานของเสียง Minute Repeater ให้สูงสุด ไฟรส์ เล่าว่า “นาฬิกาของเขามีเสียงเหมือนระฆัง นั่นเป็นเหตุผลที่ทุกคนต้องการเขา” ฮากมันน์เชื่อว่าเรือนนาฬิกาที่เล็กกว่าและเบากว่าจะให้เสียงที่ดีกว่าสำหรับ Minute Repeater โดยที่ทองเป็นโลหะที่เหนือกว่าแพลทินัมที่มีความหนาแน่นสูงกว่า และเขายกให้ โรสโกลด์ เป็นโลหะที่ดีที่สุดสำหรับเรือน Minute Repeater เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุทำให้มันแข็งกว่าโลหะผสมทองอื่นๆ เขายังเชื่อว่าเรือนนาฬิกา Minute Repeater ไม่ควรมีความหนาเกิน 0.5 มม. ในแต่ละด้านของกลไก และกระจกหน้าปัดควรเป็นแบบโค้ง
นวัตกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของเขาคือการออกแบบร่องที่ฝังอยู่ด้านข้างตัวเรือนนาฬิกาสำหรับสไลด์ของ Minute Repeater ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม ในอดีต สไลด์จะถูกติดตั้งที่พื้นผิวของด้านข้างตัวเรือน ยึดด้วยสกรูจากด้านใน ซึ่งตามความเห็นของฮากมันน์แล้ว อาจทำให้เกิดความไม่เสถียรและการจัดตำแหน่งที่ไม่อยู่กึ่งกลาง
Ref. 5029 นาฬิกา Minute Repeater รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นของ Patek Philippe ที่ผลิตขึ้นในปี 1997 เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดเวิร์กช็อปแห่งใหม่ที่ Plan-les-Ouates ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอก เพื่อให้สามารถรองรับสไลด์สำหรับ Minute Repeater ที่อยู่ด้านข้างตัวเรือน บานพับของฝาหลังจึงถูกออกแบบให้เปิดอยู่ใต้เม็ดมะยมที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา แทนที่จะเป็น 9 นาฬิกา การออกแบบเรือนนาฬิกาอันชาญฉลาดนี้เป็นผลงานของฮากมันน์ และปัจจุบันก็กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมไปแล้ว


Star Caliber 2000 มหากาพย์แห่งความซับซ้อนและความงดงาม
ผลงานชิ้นเอกที่โดดเด่นที่สุดของฮากมันน์คือ Patek Philippe Star Caliber 2000 ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่ซับซ้อนที่สุดในโลกจนถึงทุกวันนี้ และด้วยเรือนนาฬิกาที่ออกแบบมาอย่างอัจฉริยะ ทำให้มันเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่งดงามที่สุดเช่นกัน ฮากมันน์ต้องเผชิญกับความท้าทายในการผลิตเรือนนาฬิกาที่สามารถเข้าถึงกลไกซับซ้อนทั้ง 21 ฟังก์ชันได้ รวมถึงเสียงระฆัง Westminster ที่จำลองเสียงระฆังบิ๊กเบนของรัฐสภาสหราชอาณาจักร
นอกจากความยากแล้ว ฮากมันน์ยังต้องผลิตเรือนนาฬิกาทั้งหมด 4 เรือนในวัสดุเยลโลว์โกลด์ โรสโกลด์ ไวต์โกลด์ และแพลทินัม รวมถึงอีก 4 เรือนในแพลทินัมสำหรับชุดพิเศษชุดที่ห้า ต้นแบบของเรือนนาฬิกาชุดนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Patek Philippe ซึ่งน่าแปลกที่อยู่ห่างจากจุดที่ฮากมันน์เคยทำงานสมัยที่อาคารแห่งนี้เป็น Atelier Réunis เพียง 10 เมตรเท่านั้น
ฮากมันน์ได้พัฒนารูปแบบตัวเรือนแบบ Bassine-style half-hunter ที่มีฝาปิดแบบสปริงทั้งสองด้านของหน้าปัด เพื่อเผยให้เห็นหน้าปัดและกลไกที่ซับซ้อนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สามารถเปิดฝาครอบแต่ละด้านแยกกันได้ ฮากมันน์และทีมของเขาที่ Patek Philippe ได้พัฒนาระบบห่วงหมุนที่ได้รับสิทธิบัตรอันชาญฉลาด ด้วยแรงกดเพียงเล็กน้อย ห่วงทั้งหมดสามารถหมุนได้ 180° และเครื่องหมาย Calatrava Cross จะบ่งบอกด้านที่ฝาครอบจะเปิดออก จอห์น รีอาร์ดอน (John Reardon) ผู้ก่อตั้ง Collectability ได้พบกับฮากมันน์เมื่อไม่นานมานี้ที่เจนีวา และเขาได้บอกความจริงที่ไม่ค่อยมีใครรู้ที่ทำให้เรือนนาฬิกาแต่ละชิ้นของเขาโดดเด่น นั่นคือ “พวกมันทั้งหมดเปิดออกที่มุม 82° เพราะในความเห็นของเขา นั่นคือมุมที่ดีที่สุดในการชมกลไกหรือฝาหลังด้านล่าง”

ความอัจฉริยะที่เกิดจาก “มือและกระดาษ” การทำงานที่เหนือกว่าเทคโนโลยี
กลไกและตัวเรือนอันอัจฉริยะเช่นนี้ ไม่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ กลับเป็นไปตามนวัตกรรมทุกชิ้นของฮากมันน์ ปากกาและกระดาษ เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ผมน่าจะเป็นช่างทำเรือนนาฬิกาคนสุดท้ายในสวิตเซอร์แลนด์ที่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง” ซึ่งหมายความว่าเขาสามารถออกแบบตัวเรือน คำนวณทุกมุมและทุกขนาด สร้างต้นแบบ สร้าง ประกอบ ขัดเงา และเก็บรายละเอียดได้ทุกส่วน สำหรับฮากมันน์แล้ว “ความกลมกลืน” คือสิ่งสำคัญที่สุด “ความกลมกลืนในขนาด ปริมาตร สีสัน สุนทรียภาพ สัดส่วน มันเป็นคำที่งดงามมาก” เขากล่าวไว้ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากคอมพิวเตอร์ ฮากมันน์จะทำงานในสองมิติซึ่งยากกว่ามาก และเป็นการทดสอบทักษะขั้นสูงสุดของเขา
มีการประมาณการว่าฮากมันน์ผลิตเรือนนาฬิกา Minute Repeater ได้มากถึง 1,500 เรือน ซึ่งอย่างน้อยหนึ่งในสามนั้นผลิตให้กับ Patek Philippe นักสะสมมักจะพบตราประทับ JHP อันล้ำค่าบนนาฬิกา Patek Philippe Minute Repeater เช่น Ref. 3979 ซึ่งผลิตขึ้น 75 เรือนในเยลโลว์โกลด์ 12 เรือนในไวต์โกลด์ และ 12 เรือนในแพลทินัม
ตราสัญลักษณ์ JHP จะพบได้เฉพาะบนตัวเรือนชุดแรกของ Minute Repeater พร้อมปฏิทินถาวร Ref. 3974 ส่วนตัวเรือนรุ่นหลังๆ จะประทับตรา Ateliers Réunis สถานการณ์เดียวกันนี้ใช้กับนาฬิกากลไกสลับซับซ้อน Ref. 3939 และ Ref. 5016 ทั้งสองรุ่นมี Minute Repeater และ Tourbillon ฮากมันน์ผลิตตัวเรือนชุดแรกในแต่ละวัสดุ ได้แก่ เยลโลว์โกลด์ โรสโกลด์ ไวต์โกลด์ และแพลทินัม ส่วนชิ้นที่เหลือผลิตโดย Atelier Réunis นอกจากนี้ยังมีตัวเรือนพิเศษบางรุ่น เช่น Ref. 3448 สองเรือนในแพลทินัม (หนึ่งในนั้นผลิตให้กับ Jean-Claude Biver) รวมถึงนาฬิกาพกที่ไม่เหมือนใคร 15 เรือนที่ฮากมันน์ผลิตให้กับแบรนด์นี้
นอกเหนือจากแบรนด์ใหญ่ๆ แล้ว ฮากมันน์ยังผลิตเรือนนาฬิกาให้กับผู้ผลิตนาฬิกาอิสระหลายรายในยุค 1980 และ 1990 รวมถึง ฟรองค์ มุลเลอร์ (Franck Müller) ซึ่งเขาได้พัฒนาตัวเรือนสำหรับนาฬิกาข้อมือ Tourbillon ที่แสดงผลทางหน้าปัดเรือนแรกในปี 1984 และตัวเรือน Cintree Curvex เรือนแรกด้วย
ในปี 2016 เขาได้ขายธุรกิจให้กับ Vacheron Constantin และเกษียณในปี 2017 แต่เพียงสองปีต่อมา การติดต่อจาก เร็กเชป เร็กเชปิ (Rexhep Rexhepi) ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับมาทำงานอีกครั้งและเปิดเวิร์กช็อปผลิตเรือนนาฬิกาให้กับ Akrivia

การยอมรับในบั้นปลายชีวิต และเรื่องเล่าอมตะที่สะท้อนความสำคัญ
เรื่องราวที่น่าสนใจที่ฌอง-ปิแอร์ ฮากมันน์ชอบแบ่งปันอย่างหนึ่ง สรุปได้ดีถึงความสำคัญที่ชายคนหนึ่งมีต่อโลกแห่งการประดิษฐ์นาฬิกา ประมาณ 20 ปีก่อน ฮากมันน์ประสบอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์อย่างรุนแรงระหว่างการแข่งขันแรลลี่บนภูเขา และได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาอย่างหนัก เมื่อเขาถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเจนีวา หัวหน้าผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่ที่สุดทั้งหมดก็มาเยี่ยม แต่ละบุคคลสำคัญเหล่านี้ต่างขอให้แพทย์ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาดวงตาของเขา โดยที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครอง นี่คือเครื่องยืนยันถึงคุณค่าและบทบาทที่เขามีต่ออุตสาหกรรมนี้
ในที่สุด หลังจากเกือบ 70 ปีในวงการ ฮากมันน์ก็ได้รับการยอมรับในความอัจฉริยะของเขา ในเดือนกันยายน 2024 เขาได้รับ Prix Gaïa สาขาหัตถศิลป์และการสร้างสรรค์ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นรางวัลโนเบลของอุตสาหกรรมนาฬิกา ในสุนทรพจน์รับรางวัล ฮากมันน์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “ตลอดอาชีพอันยาวนานของผม ผมได้ปรับปรุงขั้นตอนการผลิตเกือบทุกขั้นตอนในการผลิตตัวเรือนที่ทำด้วยมือ” สองเดือนต่อมา เขาได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award จากงาน Grand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) ซึ่งเขาได้กล่าวขอบคุณรายชื่อลูกค้าอันยาวเหยียดที่เปรียบเสมือนทำเนียบผู้ทรงอิทธิพลของอุตสาหกรรมนาฬิกา

ก่อนที่เขาจะจากไปไม่นาน ฮากมันน์ยังคงตื่นเต้นที่จะเริ่มต้นบทใหม่ที่พาเขากลับไปสู่รากเหง้าของการเป็นช่างอัญมณี เขากำลังจะจัดตั้งเวิร์กช็อปร่วมกับ ลอรองต์ โจลเลียต (Laurent Jolliet) ช่างทำสายนาฬิกาผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้าย และนี่ผนวกกับภารกิจในการผลิตตัวเรือนต้นแบบสำหรับ Universal Genève ที่เพิ่งกลับมาเปิดตัวอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าชีวิตของฮากมันน์ไม่เคยชะลอตัวลงเลย อันที่จริง วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาเสียชีวิต เขาก็มีกำหนดเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่บนภูเขาด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ใจปี 1925 ของเขา
เมื่อถูกถามว่าเขาจะทำอะไรหากไม่ได้เป็นช่างทำเรือนนาฬิกา ฮากมันน์กล่าวว่าเขาคงเป็นช่างทำออร์แกน เพราะฟิสิกส์ของการรวมวัสดุเข้ากับเสียงนั้นไม่แตกต่างจากอาชีพที่เขาเลือก โชคดีที่ชายผู้ภาคภูมิใจในการทำงานด้วยตัวเองและใช้เพียงสัญชาตญาณกับมือคู่นั้น ได้เลือกที่จะทุ่มเททักษะอันน่าทึ่งของเขาให้กับโลกแห่งการประดิษฐ์นาฬิกา และทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลังอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
เมื่อหมู่ดาวพร่างพราวบนข้อมือ Vacheron Constantin Métiers d’Art Tribute to The Celestial
Chopard L.U.C Qualité Fleurier ฉลอง 20 ปีแห่งปรัชญาที่สะท้อนผ่านเรือนเวลา

