บทวิเคราะห์เจาะลึกปรัชญา Richard Mille และบทบาทของประเทศไทยในฐานะตลาด Hyper-Luxury ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเอเชีย
Richard Mille — The Father of Modern Watchmaking
WORDS: Wei Koh
ผมชอบหวนนึกถึงปีพระพุทธศักราช 2549 (คริสตศักราช 2006) ผมอยู่ที่งาน Le Mans Classic กลิ่นไดโนเสาร์ถูกเผาไหม้คละคลุ้งไปทั่วอากาศ นี่คือกำยานหอมที่ฝังใจผมเมื่อนึกถึงอัจฉริยะนอกกรอบอย่าง Richard Mille นี่คือดินแดนแห่งความพิเศษของเขา ไอน้ำมันเชื้อเพลิงออกเทนสูงที่ระเหยกลายเป็นไอ ถูกจุดประกายด้วยมนตร์ของเครื่องยนต์สันดาป จนแปรเปลี่ยนเป็นพละกำลังที่ตะกุยถนนยางมะตอย เป็นกลิ่นนี้เองที่ผสมผสานกับอะดรีนาลีน เหงื่อ และฮอร์โมนเพศชายที่ปกคลุมงาน Le Mans Classic

ตลอดสองวันนั้น เราได้เห็นนักแข่งขับรถที่ปกติแล้วจะถูกขนย้ายด้วยรถบรรทุก และถูกทำความสะอาดด้วยคอตตอนบัดกับน้ำยาขัดโครเมียมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในงานประกวดความสง่างาม Pebble Beach’s Concours d’Elegance อย่างสุดชีวิตจนเกือบจะพังมิพังแหล่ ณ ที่แห่งนี้ บนสนามแข่งในตำนาน Circuit de la Sarthe เราได้เห็นรถ Aston Martin DB4 GT Zagatos, Ford GT40s, Ferrari 250 GTOs และกองยานเหล็กมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของรถ Formula One ฉีกผ่านห้วงอวกาศราวกับพยายามหลบหนีพันธนาการของแรงโน้มถ่วง

Richard Mille คือคนที่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสถานที่นี้มากที่สุด ที่นี่ เขาคือคาวบอยอวกาศ ที่นี่ เขาคือเจ้าพ่อแห่งความรัก (Gangster of Love) เพราะในโลกของเขา วัตถุที่ประเมินค่ามิได้จะไม่ถูกจับต้องด้วยถุงมือสีขาว แต่ถูกนำไปใช้ตามที่พระเจ้าและผู้สร้างตั้งใจไว้ นั่นคือการใช้งานอย่างหนัก นั่นคือการใช้งานโดยปราศจากการประนีประนอม นั่นคือการใช้งานจนถึงขีดจำกัดความทนทานของมัน…และยิ่งไปกว่านั้น

ต้นกำเนิดแห่งวิสัยทัศน์ระดับโลก
” ‘บงชูร์, Richard Mille’ เสียงบาริโทนอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา… มันคือคลื่นเสียงความเร็วเหนือเสียงเหนือน่านฟ้าทะเลทราย… [Richard Mille] เป็นสุภาพบุรุษที่มีความประณีตงดงาม และเป็นผู้ชายที่มีออร่าอันยิ่งใหญ่… แม้ว่า Richard Mille จะกลายเป็นบุคคลสำคัญในทำเนียบซูเปอร์สตาร์แห่งวงการประดิษฐ์นาฬิกาของสวิตเซอร์แลนด์ แต่เขามีความเป็นเอกลักษณ์ในการบรรลุสถานะนี้โดยการทำงานในลักษณะที่เกือบจะ ตรงข้ามกับขนบธรรมเนียมดั้งเดิม โดยสิ้นเชิง…
Richard Mille กล่าวว่า ‘ผมต้องการเริ่มต้นจากกระดานชนวนที่ว่างเปล่า และสร้างสรรค์สิ่งที่ตัดขาดจากอดีตโดยสิ้นเชิง สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน’… ภารกิจของผมคือการฉีดพลังงานใหม่แบบนี้เข้าไปในวงการประดิษฐ์นาฬิกา… สิ่งที่กำลังรวมตัวกันในความคิดของ Richard Mille ไม่ใช่แค่เพียงนาฬิกา แต่เป็นปรัชญาที่ครอบคลุม… ผมต้องการสร้างนาฬิกาในแบบที่รถ F1 ถูกสร้างขึ้น คือเป็นเครื่องจักรแห่งความฝันที่มีสมรรถนะสูง โดยไม่มีการประนีประนอมแม้แต่เพียงเล็กน้อย”

ใครอีกที่จะสร้างนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของโลกที่มีแผ่นกลไกหลักทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อให้นักแข่ง F1 อย่าง Felipe Massa สวมใส่ในสนามแข่ง? แม้ว่าเขาจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้ง แต่นาฬิกาของเขาก็ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือใครอีกที่จะกล้ามัดนาฬิกาไว้กับข้อมือของ Bubba Watson นักกอล์ฟที่มีวงสวิงทรงพลังและไกลที่สุดในเกม? ใครอีกที่จะนำวัสดุที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ มาใช้ในนาฬิกา เพื่อนำมาซึ่งคุณสมบัติในการต้านทานแรงกระแทก ความเบา และความแข็งแกร่ง…
Richard Mille กล่าวว่า “เมื่อพิจารณาจากกระบวนการตัดสินใจที่ผมทำลงไปตอนสร้างนาฬิกาเรือนแรก ผมควรจะไล่ตัวเองออกไปแล้ว… แต่ผลที่ตามมาคือการสร้างนาฬิกาเรือนแรกคือ RM 001 นั้น เป็นงานที่สร้างความสุขอย่างที่สุดสำหรับเขา”
น่าประหลาดใจที่แม้จะมีป้ายราคาที่สูงลิ่วถึง 135,000 ดอลลาร์… แต่ RM 001 เรือนแรกสุดกลับขายหมดภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจ้าของร้าน Chronopassion เล่าถึงลูกค้าที่เดินออกไปพร้อมกับนาฬิกา Richard Mille โดยตะโกนว่า: “คุณมันไอ้สารเลว ทำไมคุณถึงเอาไอ้เรือนนี้มาให้ผมดู? มันแพงมาก แต่ก็สวยงามมากจนผมต้องซื้อมัน!”
เรื่องน่าขันก็คือ ชายผู้ไม่ประสงค์ออกนามที่ซื้อนาฬิกาเรือนนี้ไป ได้ทำการลงทุนที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา แท้จริงแล้ว ในปี 2017 ซึ่งเป็นเวลา 16 ปีต่อมา RM 001 ของ Picciotto เอง ถูกประมูลในราคาสูงเกือบสามเท่าของราคาขายปลีกดั้งเดิม แต่นอกเหนือจากนั้น นาฬิกาเรือนแรกของ Richard Mille คือสิ่งที่เปิดเผยโลกใหม่ เป็นของสะสมเกรดพิพิธภัณฑ์แห่งอนาคต ที่แสดงถึงการตัดขาดจากอดีตโดยสิ้นเชิง


ตลอดหนึ่งทศวรรษครึ่งของการก่อตั้งแบรนด์ Richard Mille ได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่สำคัญที่สุดต่อการประดิษฐ์นาฬิการ่วมสมัย… นักประวัติศาสตร์ในอนาคตจะแบ่งประวัติศาสตร์การทำนาฬิกาออกเป็นสองช่วงเวลา คือ ช่วงเวลาก่อนที่ Richard Mille จะถือกำเนิด และช่วงเวลาหลังจากนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่หลอมรวมจิตวิญญาณของกลุ่มคนทางประวัติศาสตร์ ผู้สร้างแบรนด์ชั้นนำ จนกลายเป็นแบรนด์ผู้ทรงอิทธิพลของวงการนาฬิกาและนักสะสมทั่วโลกต่างยอมรับ ที่เราอยากจะนำมาพูดคุยแบบเจาะลึกกันในบทความนี้

Richard Mille บิดาแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาสมัยใหม่
การเกิดของแบรนด์ที่สร้างความตกตะลึง
จากเรื่องราวที่เราเล่าไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า Richard Mille คือผู้ท้าทายขนบธรรมเนียมที่เคยเป็นมา เขาไม่ใช่นักประดิษฐ์นาฬิกาตามแบบแผน เพราะเขาเปรียบสเหมือนเป็นวิศวกรและนักปฏิวัติที่กล้าประกาศว่า “นาฬิกาสุดหรูไม่จำเป็นต้องบอบบาง” นับตั้งแต่การเปิดตัว RM 001 Tourbillon ในปี 2001 ซึ่งสร้างเสียงฮืออาเพราะมาพร้อมป้ายราคาที่น่าตกใจ ถือเป็นราคาที่สูงเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้สำหรับแบรนด์ใหม่ที่ไม่เคยมีประวัติศาสตร์มาก่อนทำให้แบรนด์นี้พุ่งทะยานเข้าสู่ใจกลางของวงการนาฬิกาอย่างรวดเร็ว ด้วยปรัชญาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ “สมรรถนะสูงสุดโดยไม่มีการประนีประนอม” (Ultimate Performance with No Compromise)
Richard Mille ไม่เคยสนใจที่จะเดินตามรอยความสำเร็จของผู้ผลิตนาฬิกาชาวสวิสที่ยิ่งใหญ่มาก่อน เขามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ทั้งหมด ด้วยปรัชญาที่เรียบง่ายแต่ทะเยอทะยาน การสร้างสรรค์นาฬิกาที่สามารถทำลายขีดจำกัดด้านวิศวกรรมได้จริง

มุมมองใหม่ต่อโลกนาฬิกาหรู
เมื่ออายุห้าสิบปี Richard Mille ตัดสินใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ด้วยแนวคิดที่จะผลักพัฒนาการสร้างนาฬิกาให้ก้าวข้ามทุกสิ่งที่มีอยู่ในยุคนั้น ผ่านมุมมองร่วมสมัยต่อศิลปะแห่งเรือนเวลา เขาตั้งใจจะพัฒนาเพียงหนึ่งผลงาน นาฬิกาในอุดมคติของเขาเอง แม้ว่าจะต้องดำเนินงานโดยไม่ยึดติดกับต้นทุนการผลิตที่สูงเกินกว่าจะคำนวณได้ก็ตาม
เมื่อเปิดตัวในปี 2001 เรือนเวลาพิเศษนี้ ซึ่งมาพร้อมตัวเรือนทรงตันโนที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ขันด้วยสกรูทอร์กอันเป็นเอกลักษณ์ และปิดท้ายด้วยป้ายราคาหลักหกตัว ได้พาแบรนด์ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ก้าวสู่จุดสูงสุดของตลาดนาฬิกาหรูทันทีตั้งแต่วันแรกที่ปรากฏตัว
“ด้วย Dominique Guenat และเหล่าผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านการทำนาฬิกาแห่งสวิตเซอร์แลนด์ ผู้ที่ไม่หวั่นเกรงต่อไอเดียท้าทายที่เราต้องการนำเสนอให้โลกได้เห็น เราจึงเริ่มต้นลงมือสร้างสรรค์ดีไซน์แรกสุดของเรา นั่นคือ RM 001” — Richard Mille
Dominique Guenat
ผู้เป็นพาร์ตเนอร์
Richard Mille จับมือกับเพื่อนสนิท Dominique Guenat เจ้าของบริษัท Guenat SA Montres Valgine เพื่อผลักดันความฝันของเขาให้เป็นจริง ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1988 เมื่อตอนที่ Richard Mille ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนาฬิกาและซีอีโอฝ่ายจิวเวลรีของ Mauboussin ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตนาฬิกา
แม้ความสัมพันธ์จะเริ่มต้นจากงาน แต่ทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็ว ความผูกพันยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นจากความหลงใหลที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นโลกของยนตรกรรม การบิน และเครื่องจักรเชิงวิศวกรรมทุกรูปแบบ

นวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
แนวคิดหลักของ Richard Mille คือการนำเอาเทคนิคและวิศวกรรมจากโลกของ Formula 1 มาใช้ในโลกของการประดิษฐ์นาฬิกา เขามองว่านาฬิกาควรจะถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อแรงกระแทก แรง G และสภาวะสุดขั้วได้จริง ไม่ใช่ถูกเก็บไว้ในตู้เซฟเหมือนทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ
ซึ่งเป็นแนวคิดที่บทความต้นฉบับได้เน้นย้ำไว้อย่างหนักแน่นว่า ในเวลานั้นการใช้ Carbon-fiber ในแผ่นกลไกหลัก (Baseplate) ถือเป็นเรื่องใหม่ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน Richard Mille ได้ยกระดับการใช้วัสดุไปสู่จุดสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น
- การอัปเดตวัสดุ: หากในช่วงแรกการใช้ไทเทเนียมเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น ปัจจุบันแบรนด์คือผู้นำในการใช้วัสดุคอมโพสิตขั้นสูง เช่น Carbon TPT® และ Quartz TPT® ซึ่งไม่เพียงแต่นำมาใช้ในตัวเรือนเท่านั้น แต่ยังใช้ในชิ้นส่วนกลไกที่ละเอียดอ่อนอีกด้วย วัสดุเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เรือนนาฬิกามีน้ำหนักเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ยังทนทานต่อแรงกระแทกและแรง G ที่รุนแรงได้อย่างแท้จริง
- โครงสร้างที่เปิดเปลือย (Skeletonization): แบรนด์ได้ผลักดันขีดจำกัดของการออกแบบที่เปิดเปลือย ทำให้ส่วนประกอบทางกลไกทั้งหมดถูกนำมาจัดวางอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้องค์ประกอบทางวิศวกรรมกลายเป็นส่วนหนึ่งของสุนทรียภาพที่จับต้องได้

การยืนยันด้วยสมรรถนะ จากสนามแข่งถึงปัจจุบัน
Richard Mille ตอกย้ำปรัชญาของตนผ่านการใช้งานจริงในสถานการณ์สุดขั้ว การจับคู่กับนักกีฬาอย่าง Felipe Massa และ Rafael Nadal ที่สวมใส่นาฬิกาทูร์บิญองลงสนามแข่งและสนามเทนนิสจริงนั้น ต้องรับแรงกระแทกอย่างหนัก ได้ตอกย้ำให้โลกเห็นว่า นาฬิกาของ Richard Mille ไม่ใช่แค่การตลาด แต่คือความเป็นจริงด้านวิศวกรรมที่สามารถใช้งานได้จริง จนกลายเป็นตำนานที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์
- ความสัมพันธ์ที่ยังคงดำเนินต่อไป: พันธมิตรเหล่านี้ยังคงแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ ๆ ที่มีน้ำหนักเบาลงและซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน: แบรนด์ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือไปสู่พันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันในยุคปัจจุบัน เช่น การเป็นพันธมิตรสำคัญกับแบรนด์ Ferrari ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ตอกย้ำถึงการแสวงหาวิศวกรรมและสมรรถนะขั้นสูงสุด โดยมีการเปิดตัวรุ่น RM UP-01 Ferrari ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการทำลายสถิติความบาง
- รวมไปถึง RM 001 และรุ่นต่อมาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม โดยประกาศอย่างชัดเจนว่า Richard Mille คือผู้ที่สร้างกฎเกณฑ์ใหม่ และด้วยความกล้าหาญในการก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ ทำให้เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาสมัยใหม่”
สถานการณ์ปัจจุบันและการก้าวไปข้างหน้า
ผ่านมาแล้วกว่าสองทศวรรษ Richard Mille ยังคงสานต่อปรัชญาเดิม แต่ยกระดับไปสู่ขีดจำกัดใหม่ นี่คือการอัปเดตว่าแบรนด์ได้ก้าวไปไกลกว่าบทความต้นฉบับอย่างไร ซึ่งปัจจุบันสถานะทางสังคม (Ultimate Status Symbol) ของ Richard Mille นอกจากจะเป็นนาฬิกาที่มีวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและรสนิยมที่โดดเด่นอย่างแท้จริง การผลิตที่จำกัดจำนวนอย่างเคร่งครัดทำให้มูลค่าในตลาดรองสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ต้องการของนักสะสมระดับโลก

บทบาทของตลาดประเทศไทยในยุคปัจจุบัน
บูติค Richard Mille ในประเทศไทยอาจกลายเป็นจุดศูนย์กลางของตลาด Hyper-Luxury
แม้จะยังไม่ได้มีการเปิดบูติคอย่างเป็นทางการ (Standalone Boutique) แต่การตัดสินใจเปิดบูติคของ Richard Mille ในประเทศไทยนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะแบรนด์นี้มีนโยบายการขยายสาขาที่จำกัดและคัดเลือกอย่างเข้มงวด การมีบูติคที่ดำเนินการโดยตรงหรือโดยพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จึงสะท้อนให้เห็นถึงหลายมิติที่น่าสนใจ อย่างเช่น
1. การรับรองสถานะ “ตลาดหลัก” ในภูมิภาค
- ความมั่นใจในกำลังซื้อ: การเปิดบูติคอย่างเป็นทางการในทำเลที่เป็น Prime Location (มักอยู่ในศูนย์การค้าหรูใจกลางกรุงเทพฯ) เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า Richard Mille มองเห็นประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดหลัก (Key Market) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง (High-Net-Worth Individuals: HNWI) ที่มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- การเข้าถึงโดยตรง: บูติคแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นช่องทางให้แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้ารุ่นหายาก (Limited Editions) หรือรุ่นพิเศษที่มักจะถูกจัดสรรให้กับตลาดสำคัญๆ ได้โดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้านค้าตัวแทนทั่วไปไม่สามารถทำได้


2. ประสบการณ์ความหรูหราแบบเฉพาะตัว (Exclusivity)
- บรรยากาศและดีไซน์: บูติคของ Richard Mille มักจะถูกออกแบบมาให้สะท้อนปรัชญาของแบรนด์ นั่นคือการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม วัสดุไฮเทค และความสง่างามสุดขั้ว การเข้าชมบูติคจึงเป็นประสบการณ์ที่หรูหราและเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง
- บริการพิเศษ: บูติคจะกลายเป็นศูนย์กลางในการให้บริการหลังการขาย การรับนาฬิกาเข้าซ่อมบำรุง และการจัดกิจกรรมส่วนตัว (Private Events) สำหรับลูกค้า VIP โดยเฉพาะ เพื่อสร้างความผูกพันและเครือข่ายของนักสะสมในประเทศไทย
3. สัญลักษณ์ของรสนิยมและการยอมรับ
- แรงผลักดันจากนักสะสมรุ่นใหม่: เรามองว่าบูติคในไทยไม่ได้มีไว้เพียงสำหรับนักสะสมนาฬิกาแบบดั้งเดิมเท่านั้น ยังตอบสนองต่อกลุ่ม Young Ultra-Wealthy ซึ่งมองว่า Richard Mille คือเครื่องหมายของความสำเร็จที่เปิดเผย (Visible Success) และรสนิยมที่ก้าวหน้า
- การเป็นกระแส: การมีบูติคเป็นเสมือนการประทับตราว่า Richard Mille เป็น “The Watch to Own” ในแวดวงสังคมชั้นสูงของไทย การซื้อนาฬิกาจากบูติคจึงเป็นการยืนยันความถูกต้องและสถานะที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์แม่โดยตรง


สรุปคือ การมีบูติคของ Richard Mille ในไทยนอกจากในมุมมองเรื่องของการค้าขาย ยังเป็นเรื่องของ การยอมรับสถานะของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการสะสมนาฬิกาหรูขั้นสูงสุด และเป็นการตอกย้ำว่าอุปสงค์และอิทธิพลของนักสะสมชาวไทยมีน้ำหนักมากพอที่ทำให้แบรนด์ระดับโลกเช่นนี้ต้องเข้ามาบริหารจัดการประสบการณ์ของลูกค้าด้วยตนเอง แต่ถึงแม้จะไม่มีบูติคให้เห็นตามห้างสรรพสินค้าหรู แต่การบริหารจัดการการค้าอย่างเป็นระบบในไทย และมูลค่าในตลาดรองที่สูง ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสำคัญของนักสะสมชาวไทยในสายตาของ Richard Mille ได้เป็นอย่างดี
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
L.Leroy Osmior Bal du Temps การกลับสู่เวทีของกลไกชั้นสูง
The House that Breitling Built: ยุทธศาสตร์ไตรภาคแห่งความหรูหรา การวางตำแหน่งเพื่อครองตลาดนาฬิกาสวิส
เจาะลึกกลไกและงานศิลป์ (Métiers d’Art) แห่ง Bovet


