The Reason Why: 5 เหตุผลที่ Excalibur Biretrograde Calendar จาก Roger Dubuis เปรียบดังบทกวีแห่งกลไก
Before the Reasons ทำไมนาฬิการุ่นนี้จึงควรกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง
ช่วงหนึ่ง Roger Dubuis เคยถูกมองว่าเป็นแบรนด์ที่เสียงดังเกินไป กลไกอลังการ หน้าปัดเร้าอารมณ์จนบางครั้งกลบความละเมียดของงานฝีมือที่ควรจะเป็นหัวใจของนาฬิกาชั้นสูง เส้นทางที่แบรนด์เลือกเดินดูเหมือนจะชัดเจนว่าไม่ใช่สำหรับทุกคน
แต่ Excalibur Biretrograde Calendar รุ่นล่าสุดกลับทำให้ต้องหยุดมองใหม่ ไม่ใช่เพราะมันเรียบร้อยขึ้น หากแต่เป็นเพราะมันเลือกจะพูดน้อยลงในแบบที่เฉียบคมกว่าเดิม
ถ้าเปรียบเป็นเพลงร็อคเพลงหนึ่ง นาฬิกาเรือนนี้เปรียบได้กับจังหวะเว้นวรรคในท่อนโซโล่ที่เคยดุดัน มันยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณเดิมของ Roger Dubuis เลือกที่จะลดทอนการโหมโรงลง แล้วเปิดพื้นที่ให้รายละเอียดอันประณีตได้เปล่งเสียงของตัวเองอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพื่อย้อนกลับไปยึดติดกับอดีต แต่เพื่อวางบทสนทนาระหว่างอดีตและปัจจุบันให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสง่างาม
นี่ไม่ใช่บทความรีวิวหรือบทโฆษณา เพราะบทความนี้คือบันทึกเหตุผลว่าเพราะอะไรเรือนเวลาเรือนนี้จึงสมควรได้รับการพิจารณาใหม่ ด้วยสายตาที่ไม่ใช่แค่ของนักสะสม ยังรวมไปถึงสายตาของคนที่สนใจในความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะ เวลา และตัวตน
และนี่คือ 5 เหตุผลที่ Excalibur Biretrograde Calendar จึงควรถูกพูดถึงอีกครั้ง เพราะครั้งนี้มันเข้าใจจังหวะของตัวเองได้ดีขึ้นกว่าเดิมและอยากให้ลองเปิดใจ

1. Art × Mechanics เมื่อกลไกคือภาษาของศิลป์
ต้องบอกว่า Roger Dubuis คือเรือนเวลาแห่งศิลปะที่ไม่เคยถูกแยกออกจากวิศวกรรมศาสตร์ และ Excalibur Biretrograde Calendar รุ่นล่าสุด ก็คือบทสรุปอันบริสุทธิ์ของแนวคิดนั้นอย่างแท้จริง
ภายใต้หน้าปัดแบบซ้อนชั้นทั้ง 7 ชั้น ซึ่งถูกออกแบบอย่างซับซ้อนแต่ยังคงไว้ซึ่งความสมดุล มีจังหวะการเรียงตัวของวัสดุ พื้นผิว และระดับความสูงต่ำที่ให้ความรู้สึกคล้ายสถาปัตยกรรมแบบ low-relief ที่ถูกแกะสลักอย่างมีจังหวะ จุดที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ความงามทางสายตาเท่านั้น ยังรวมไปถึงวิธีที่แต่ละชั้นรังสรรค์ให้เข้ากันอย่างแนบเนียน
หัวใจของเรือนเวลานี้คือกลไกอัตโนมัติรุ่นใหม่ Calibre RD840 ซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดภายในโรงงานของแบรนด์เอง พร้อมผ่านการขัดแต่งและตกแต่งจนได้รับตรารับรองคุณภาพระดับสูงสุด Poinçon de Genève ซึ่งเป็นตราประทับที่ใช้การได้ในเชิงการตลาด นี่เปรียบเหมือนหลักฐานของการใส่ใจในรายละเอียดทุกระนาบ ทุกเหลี่ยม ทุกเส้นสาย ระดับที่ต้องมองผ่านกล้องขยายจึงจะเข้าใจว่างานฝีมือนี้จริงจังแค่ไหน
ราวกับว่ากลไกนี้ไม่ได้มีไว้ทำหน้าที่แค่ทำงาน แต่ถูกยกระดับขึ้นเป็นภาษาของศิลป์ และเมื่อปล่อยให้เสียงจักรกลเดินไปตามจังหวะของมันเอง จึงไม่รู้สึกถึงกลไกลของเครื่องจักร แต่กลับได้ยินเสียงของศิลปินที่กำลังขับขานจินตนาการ ที่แสดงออกผ่านการเคลื่อนไหวของฟันเฟือง การดีดกลับของเข็ม และการขยับเข้าออกของจักรกลอย่างมีชีวิต

2. เวลาไม่ได้เป็นเส้นตรง และ Roger Dubuis ก็ไม่เชื่อในเส้นตรงนั้น
การแสดงผลวันและวันที่ในแบบ Biretrograde ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกเล่นทางเทคนิค ยังเป็นการตั้งคำถามที่สำคัญว่าทำไมเวลา…ต้องเดินหน้าเสมอ?
ย้อนกลับไปในปี 1989 คุณ Roger Dubuis ได้ร่วมจดสิทธิบัตรกลไก Biretrograde ของตัวเอง ซึ่งภายหลังกลายเป็นรากฐานสำคัญของเรือนเวลาเรือนแรกของแบรนด์ ด้วยแนวคิดที่ไม่ยึดติดกับการมองเวลาในรูปแบบเส้นตรง
มันบ่งบอกถึงความเชื่อที่ว่าเวลาไม่ได้เป็นแค่เส้นตรงที่ไหลไปข้างหน้าในทิศทางเดียว แต่สามารถวนกลับไปหาอดีตได้เช่นกัน โดยการแสดงผลของวันและวันที่ในกลไก biretrograde นี้ เข็มที่เคลื่อนไปแล้วดีดกลับไปที่จุดเริ่มต้นมันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการไม่ยอมให้ตัวเองถูกจำกัดด้วยกรอบเวลาที่ยึดมั่น
ปีนี้ Roger Dubuis จึงเลือกที่จะย้อนกลับ ไปยังจุดเริ่มต้นนั้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพราะความคิดถึง แต่เพราะมันคือการกลับมามองจากมุมของผู้ที่เคยเดินมาจนถึงจุดนี้แล้วและได้เข้าใจว่า บางครั้ง ความหมายของการเดินไปข้างหน้าก็อาจไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับการรู้จักย้อนกลับไปสู่จุดที่เริ่มต้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ทางตรง เพราะบางทีสิ่งที่ดีที่สุดอาจจะไม่ใช่การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเดินถอยหลังเพื่อทบทวนและเริ่มต้นใหม่
และนั่นคือความงามที่ซ่อนอยู่ในกลไก biretrograde เข็มที่เดินไปแล้วดีดกลับไปยังจุดเริ่มต้น เป็นการเตือนให้เรารู้ว่า เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ เริ่มใหม่ ได้เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องกลัวการหวนกลับ

3. ความ “กล้าแตกต่าง” ไม่เคยเป็นทางเลือก หากแต่มันคือพันธุกรรม
Excalibur รุ่นนี้ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของการออกแบบใหม่ ยังเป็นผลผลิตของแบรนด์ที่ไม่เคยเล่นตามกติกา การสร้างสรรค์ของ Roger Dubuis คือการปฏิเสธที่จะยอมรับว่าสิ่งที่ดีที่สุด ต้องเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงวันนี้ แบรนด์ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าความงามไม่จำเป็นต้องปลอดภัยเสมอไป
ในปี 2024 นี้ การใช้วัสดุที่เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ เช่น พิงค์โกลด์ 18K และ Mother-of-Pearl ที่แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมโอนอ่อนไปตามกระแส ที่แสวงหาความเสถียรและความคุ้นเคย ด้วยวัสดุที่ Roger Dubuis เคยเป็นผู้บุกเบิกเมื่อหลายทศวรรษก่อน การเลือกใช้สิ่งเหล่านี้ใน เรือนเวลารุ่นใหม่เป็นการย้อนกลับไปสู่ความคลาสสิค และยังทำให้เห็นถึงพันธุกรรมของแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาและไม่เคยกลัวการทดลอง
หน้าปัดของเรือนนี้ บอกเล่าเรื่องราวของความสมมาตรที่ไม่เคยเรียบง่าย แม้ว่าเส้นสายจะดูสมดุลและลงตัว แต่มันยังคงมีความงามที่ไม่สนใจการเอาใจใคร มันดูเหมือนจะหลุดจากกรอบความคาดหวังทั่วไปและไม่ใช่แค่สวยในสายตาคนทั่วไป ยังเป็นความงามที่มีเสน่ห์ลึกลับและไม่ยอมให้ใครมาคาดเดา
มันอาจเป็นเสน่ห์ที่บางคนไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วจะรู้ทันทีว่านี่แหละ…ของจริงมาแล้ว เพราะสิ่งที่คุณเห็นนั้นหาใช่เพียงแค่การออกแบบที่สะดุดตา กลับกลายเป็นคำประกาศอำนาจที่บอกว่า การแตกต่างคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นเรา

4. การเล่าเรื่องแบบ Symbolic หรือเมื่อการดีดกลับของเข็ม คือนัยของชีวิต
บนหน้าปัด Excalibur Biretrograde Calendar มีสองวงโค้งที่ตัดกันอย่างแยบยล ถูกขนานนามว่า Ecliptic Counters คำเรียกที่ดูเหมือนจะเป็นศัพท์เทคนิคจากดาราศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วคือการเล่าเรื่องด้วยภาษาสัญลักษณ์ในแบบของ Roger Dubuis อย่างชัดเจน
“Ecliptic” ตามความหมายตรงตัว คือเส้นทางโคจรของดวงอาทิตย์ แต่ในบริบทของเรือนเวลานี้ มันไม่ได้สื่อถึงจักรวาลภายนอกเท่านั้น หากยังชี้ย้อนเข้ามาภายใน ว่าเส้นทางของชีวิตก็ไม่ได้เป็นวงกลมที่สมบูรณ์แบบ หรือเส้นตรงที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเสมอไป
การดีดกลับของเข็มในระบบ biretrograde ไม่ได้เป็นแค่กลไกที่ดูน่าตื่นตา มันคือบทกวีแห่งการเปลี่ยนแปลง เข็มที่กวาดจากซ้ายไปขวา และดีดกลับไปเริ่มต้นใหม่อย่างรวดเร็วในทุกรอบ กำลังบอกว่า “ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้” ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน เราก็มีโอกาสย้อนกลับไปเริ่มต้นอีกครั้ง
ชีวิตจริงก็ไม่ต่างกัน…บางจังหวะ เราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ควบคุมไม่ได้ บางจังหวะ เราหายไปจากวงโคจรของใครบางคน และบางจังหวะ เราก็กลับมา พร้อมความเข้าใจที่ลึกกว่าเดิม
Excalibur รุ่นนี้จึงไม่ได้แค่บอกวันและวันที่ แต่มันบอกเล่าเรื่องราวของเวลา ในฐานะสิ่งที่ทั้งหมุนเวียน ย้อนกลับ และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

5. เวลาในฐานะกระจกสะท้อนตัวตน
ดั่งคำที่เคยกล่าวไว้ว่า:
“This is a watch of today, inspired but not restricted to the past, projected into a future that belongs to us.” เอาจริงๆ ประโยคนี้ไม่ได้แค่ฟังดูดี หรือสวยหรู ถ้าพิจารณาถึงรายละเอียดจะเห็นว่ามันปรากฏอยู่ในทุกเส้นสาย ทุกพื้นผิว และทุกความตั้งใจของ Excalibur Biretrograde Calendar
เรือนเวลารุ่นนี้ไม่ได้พยายามแต่งตัวให้เหมือนวันวาน ไม่ได้ย้อนยุคเพื่อเอาใจใคร หากแต่มันเลือกจะเป็นตัวของตัวเองอย่างกล้าหาญ ในแบบที่ยังรับรู้และเคารพรากเหง้าของตัวเอง
จากกลไกที่เชื่อมโยงกับอดีต วัสดุที่เคยถูกบุกเบิกเมื่อหลายสิบปีก่อน ถ่ายทอดผ่านแนวคิดที่ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากความคิดถึง มันเกิดจาก ความเข้าใจในเวลา ในแบบที่ไม่ได้มองว่ามันผ่านไปเฉย ๆ แต่เลือกจะดึงมันกลับมา เพื่อสร้างบางอย่างที่มีคุณค่าในปัจจุบัน
Excalibur Biretrograde จึงเป็นมากกว่าเครื่องบอกเวลา เพราะนี่คือการประกาศตัวตนอย่างเงียบ ๆ แต่หนักแน่น และหากเลือกจะสวมใส่มัน นั่นอาจไม่ใช่เพราะอยากได้ความหรูหรา คงเป็นเพราะอยากบอกกับตัวเองว่า “ฉันรู้ว่าฉันเป็นใคร และฉันเลือกจะเดินไปข้างหน้า ด้วยตัวตนที่แท้จริงของฉัน”

ข้อมูลทางเทคนิค
Roger Dubuis Excalibur Biretrograde Calendar (RDDBEX1179)
- ขนาดตัวเรือน: 40 มม.
- วัสดุ: พิงค์โกลด์ 18K
- กลไก: Calibre RD840 อัตโนมัติ ผลิตภายในโรงงาน
- ฟังก์ชันเด่น: Biretrograde ปฏิทินวัน-วันที่ เข็มคู่
- หน้าปัด: มุกธรรมชาติ (Mother-of-Pearl) โครงสร้างหน้าปัด 7 ชั้น ดีไซน์สมมาตร ใช้ฟอนต์วินเทจ
- ฝาหลัง: โชว์กลไก ตกแต่งด้วยคำพูดจากผู้ก่อตั้ง
- มาตรฐาน: รับรอง Geneva Seal (Poinçon de Genève)
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกเรือนเวลาสุดล้ำได้ที่ Revolution Thailand แหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับนักสะสมนาฬิกาตัวจริง
ภาพ | ที่มา: Roger Dubuis

