Van Cleef & Arpels บทกวีแห่งเวลา ที่บรรยายความงามของท้องฟ้าเหนือปารีสในงาน Watches and Wonders 2025
ในงาน Watches and Wonders ประจำปี 2025 นี้ Van Cleef & Arpels ได้เปิดตัวผลงานชุดใหม่ที่เป็นการรำลึกถึงปารีส เมืองที่เป็นที่มาของแบรนด์และแรงบันดาลใจอันไม่สิ้นสุด ในฐานะสัญลักษณ์ของ “มหานครแห่งความรัก” เมซงได้เปิดตัวคอลเลกชัน “Pont des Amoureux” (สะพานแห่งความรัก) ในโทนสีใหม่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
พร้อมทั้งเผยโฉมผลงานนาฬิกาข้อมือที่เล่าเรื่องราวรักบทใหม่ในรูปแบบที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวบนหน้าปัดในชื่อ “Bal des Amoureux” Automate ซึ่งผสมผสานศิลปะการทำงานชั้นสูงของฝรั่งเศสเข้ากับความชำนาญทางกลไกจากห้องปฏิบัติการในเจนีวาได้อย่างลงตัว
โดยสองผลงานในกลุ่ม “Extraordinary Objects” ยังสะท้อนถึงความงดงามของ “บทกวีบอกเวลา” ผ่านการเคลื่อนไหวของปีกนางฟ้า หรือการเต้นรำของมวลดาราบนเวิ้งจักรวาล ซึ่งการตกแต่งด้วยรัตนชาติบนตัวเรือนนาฬิกาก็สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเมซงที่ยึดมั่นในแนวคิด “เครื่องประดับบอกเวลา” อันเป็นที่รักของ Van Cleef & Arpels มาอย่างยาวนาน
“เช่นเดียวกับทุกครั้งในงานนี้ เราได้รับโอกาสในการเล่าเรื่องราวและแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในด้านกลไกที่ขับเคลื่อนผลงานสร้างสรรค์ในคอลเลกชันนาฬิกาซ้อนระบบ Poetic Complications ของเรา โดยคอลเลกชัน ‘Pont des Amoureux’ ซึ่งเริ่มต้นจากต้นแบบในปี 2010 ได้รับการรังสรรค์ใหม่ในหลากหลายโทนสี จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่คอยสะท้อนตัวตนของเรามาตลอดหลายปี
ในฐานะการแสดงออกของ ‘บทกวีบอกเวลา’ อันเป็นที่รักยิ่งของ Van Cleef & Arpels ศิลปะทางกลไกและความผูกพันลึกซึ้งกับหัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฝรั่งเศสได้ถูกนำมาใช้เพื่อยกย่องหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา นั่นคือ ‘ความรัก’”
Van Cleef & Arpels เมซงอันถือกำเนิดจากความรัก
เรื่องราวของ Van Cleef & Arpels เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1895 จากการสมรสระหว่างอัลเฟร็ด แวน คลีฟและเอสเธอร์ (หรือ “เอสแต็ลล์” ในภาษาฝรั่งเศส) อารเปลส์ ทั้งคู่ต่างมาจากครอบครัวที่มีประวัติในธุรกิจเครื่องประดับและการค้ารัตนชาติ ซึ่งทำให้การก่อตั้ง Van Cleef & Arpels ในปีค.ศ. 1906 ที่เลขที่ 22 จัตุรัสว็องโดม ใจกลางกรุงปารีส เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
ตลอดระยะเวลาหลายปีนับตั้งแต่การก่อตั้ง ความรักได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่หล่อหลอมความคิดสร้างสรรค์ของเมซงมาโดยตลอด โดยสะท้อนให้เห็นผ่านเครื่องประดับรูปหัวใจฝังเพชรที่สร้างสรรค์ขึ้นในปีค.ศ. 1906 ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นแรกที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ของเมซง
นอกจากแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและความเชื่อในโชคลางแล้ว ความรักยังเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจสำคัญที่หล่อหลอมผลงานของ Van Cleef & Arpels อันเต็มไปด้วยความงามและความโรแมนติก เช่น เครื่องประดับรูปช่อดอกไม้สื่อรัก กามเทพ นกคู่รัก ข้อความสื่อรัก หรือแม้กระทั่งเครื่องประดับคู่รัก
ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการนำมาผสมผสานทั้งในงานเครื่องประดับอัญมณีและนาฬิกาข้อมือที่ตกแต่งด้วยรัตนชาติ สร้างสรรค์เรื่องราวความรักที่งดงามและโรแมนติกอย่างไม่รู้จบ รวมถึงคอลเลกชันนาฬิกา “สะพานแห่งความรัก” (Pont des Amoureux) ที่เต็มไปด้วยความหมายและความงดงามของความรักที่ยาวนาน


คอลเลกชันนาฬิกาข้อมือ Poetic Complications
ตั้งแต่ปีค.ศ. 2006 เมซง Van Cleef & Arpels ได้เริ่มสร้างสรรค์นาฬิกาข้อมือที่มีระบบซ้อนกลไก (complication watch) เพื่อเป็นตัวแทนของความประณีตและความงดงามในการประดิษฐ์ โดยนำทักษะและความชำนาญทางกลไกการบอกเวลา มาผสมผสานกับวัสดุชั้นเลิศและความเป็นเลิศในหัตถศิลป์ฝรั่งเศส การสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงแค่บอกเวลา แต่ยังเล่าเรื่องราวอันงดงามในชีวิตผ่านการตกแต่งอย่างหรูหราบนหน้าปัด
จากการวาดร่างอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียด กระบวนการพัฒนากลไกระบบต่างๆ ได้ถูกออกแบบอย่างประณีต เพื่อสร้างการเคลื่อนไหวที่ตระการตาในแต่ละผลงาน โดยมีการใช้กลไกตีเข็มย้อนกลับ (retrograde) เพื่อบอกเวลาในรูปแบบที่งดงามเหมือนฝันบนหน้าปัด และการใช้หุ่นกลขับเคลื่อนตามสั่ง (on-demand animation) เพื่อเล่าเรื่องราวการนัดพบแสนโรแมนติก
ความกล้าหาญทางเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์นี้ได้นำมาซึ่งการรวมตัวของช่างฝีมือผู้เปี่ยมพรสวรรค์ในหลากหลายแขนง ตั้งแต่การลงยา จิตรกรรมย่อส่วน งานแกะสลัก งานเจียระไน ไปจนถึงงานฝังรัตนชาติ ซึ่งทำให้แต่ละผลงานนาฬิกาของ Van Cleef & Arpels ไม่ต่างจากศิลปะวัตถุเลอค่าที่สามารถสะท้อนถึงศิลปะในการบอกเวลาของแบรนด์ได้อย่างชาญฉลาด
คอลเลกชัน Pont des Amoureux เรื่องราวของ “สะพานแห่งความรัก”
ในปีค.ศ. 2010 Van Cleef & Arpels ได้สร้างสรรค์นาฬิกา “สะพานแห่งความรัก” หรือ Pont des Amoureux เรือนแรกขึ้น ซึ่งถือเป็นผลงานต้นแบบจากคอลเลกชัน Poetic Complications และนาฬิกาข้อมือรุ่นแรกที่ใช้กลไกซ้อนระบบขับเคลื่อนอย่างประณีต โดยสามารถคว้ารางวัลจากงาน Grand Prix d’Horlogerie de Genève (กรองด์ ปรีซ์ ดอรลอเชรี เดอ เชอแนฟว) ตั้งแต่ครั้งแรกที่เผยโฉม ผลงานในคอลเลกชันนี้ได้ร่วมกันเล่าเรื่องราวของการพบปะระหว่างหนุ่มสาวคู่รักที่ยืนอยู่บนสะพานกลางมหานครปารีส
กลไกของนาฬิกานี้ใช้ความซับซ้อนระหว่างกลไกเข็มตีกลับบอกชั่วโมงและเข็มตีกลับบอกนาที เพื่อขับเคลื่อนคู่รักจากปลายสะพานทั้งสองฝั่งให้มาพบและจูบกันในตอนเที่ยงวันและเที่ยงคืน ซึ่งช่วงเวลาของการจูบจะคงอยู่ประมาณสามนาทีก่อนที่ทั้งสองจะกลับไปยังจุดเริ่มต้นของแต่ละรอบเวลา อีกทั้งเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศแห่งความรักในทุกช่วงเวลาที่ต้องการ นาฬิกานี้ยังมีกลไกหุ่นกลขับเคลื่อนตามสั่ง (on-demand animation) ที่ทำให้ผู้สวมใส่สามารถพบกับฉากรักบนสะพานได้เป็นเวลา 12 วินาที
ในปีนี้ ผลงานใหม่จากคอลเลกชัน Pont des Amoureux มาพร้อมกับความหรูหราที่สะกดสายตาด้วยสายคาดเลอค่าสี่แบบ ซึ่งแต่ละแบบสะท้อนอารมณ์โรแมนติกของคู่รักตามเวลานัดพบในมหานครปารีส ผ่านการออกแบบหน้าปัดที่มีเฉดสีต่างกันเพื่อถ่ายทอดความงดงามในแต่ละช่วงเวลา ตั้งแต่ความสงบของอรุณรุ่ง, ความสดใสของยามเช้า, ความโรแมนติกในยามเย็น ไปจนถึงประกายแสงจันทร์ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
ท่ามกลางบรรดารายละเอียดตกแต่งบนหน้าปัดของคอลเลกชัน Pont des Amoureux เทคนิคงานฝีมือลงยาผงสีก่อเงาแสงหรือ grisaille (กรีซายล์) สะกดทุกสายตาด้วยความละเมียดละไม ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากจิตรกรรมสีน้ำหลากเฉดเป็นฉากหลังจำลองทัศนียภาพของมหานครปารีส ผลลัพธ์จากการประยุกต์ใช้เทคนิคนี้ทำให้โครงสร้างสะพานประติมากรรมทองคำฉลุลายมีมิติเพิ่มขึ้น และดึงดูดสายตาผู้สวมใส่ให้ประทับใจในทุกมุมมอง


นอกจากนี้ เทคนิครูปลอกลงยา (enamel decal) ถูกนำมาใช้ในการเรียงร้อยความต่อเนื่องของเรื่องราวไปยังแผ่นแก้วไพลิน (sapphire glass) ที่ฝาหลังตัวเรือน พร้อมกับการสลักทองที่มีความละเอียดประณีต อันเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะและความงามที่สะท้อนถึงความรักในทุกการออกแบบ
ความหรูหราตระการตาของรุ่นใหม่ยังแสดงออกผ่านสายคาดที่มีโครงตาข่ายอ่อนช้อย ที่ไม่เพียงแต่ให้ความยืดหยุ่น แต่ยังมอบความสบายในการโอบกระชับข้อมืออย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้สวมใส่สัมผัสถึงความพิเศษในทุกการเคลื่อนไหว
รอบข้อมือของนาฬิกาในคอลเลกชัน Pont des Amoureux ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันดุจแถบแพรที่รองรับงานฝังเพชรสลับไพลินไล่เฉดสีที่น่าทึ่ง โดยไพลินสีชมพูอ่อนถูกนำมาใช้ในผลงานรุ่น Aube (โอบ) หรือ “แสงอรุณ” ซึ่งสะท้อนถึงความงามของช่วงเวลาตอนเช้าที่เต็มไปด้วยความสดใสและความหวัง

นาฬิกาข้อมือเลดี อารเปลส์ “สะพานแห่งความรัก” แสงอัสดง
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบประดับเพชร, ไพลินสีชมพู และงานลงยา
กลไกขับเคลื่อนแบบขึ้นลานอัตโนมัติในตัวร่วมกับกลไกเข็มตีกลับระบบคู่
และหุ่นกลบอกเวลาตามสั่ง

นาฬิกาข้อมือเลดี อารเปลส์ “สะพานแห่งความรัก” กลางแสงจันทร์
ตัวเรือนทองคำสีขาวประพับเพชร, ไพลิน และงานลงยา
กลไกขับเคลื่อนแบบขึ้นลานอัตโนมัติในตัวร่วมกับกลไกเข็มตีกลับระบบคู่
และหุ่นกลบอกเวลาตามสั่ง
ในขณะที่รุ่น Matinée (มาตีเน) หรือ “แสงเช้า” ใช้ไพลินสีฟ้าเพื่อมอบความกระจ่างสดใสให้กับหน้าปัด สื่อถึงความตื่นตาตื่นใจในยามเช้าของวันใหม่ และรุ่น Soirée (ซัวเร) ใช้ไพลินสีชมพูเข้มเพื่อถ่ายทอดความงามของ “แสงอัสดง” ในยามเย็น ที่แฝงไปด้วยความโรแมนติก
ไพลินสีน้ำเงินถูกใช้ในรุ่น Clair de Lune (แคลร์ เดอ ลูน) หรือ “กลางแสงจันทร์” ซึ่งสะท้อนถึงความงามยามราตรีใต้แสงจันทร์ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความสงบเงียบ นาฬิกาทุกเรือนในคอลเลกชันนี้ไม่เพียงแค่เป็นเครื่องบอกเวลา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความงดงามในแต่ละช่วงเวลาแห่งรักที่เต็มไปด้วยความหมาย
Lady Arpels Bal des Amoureux Automate, a fresh chapter
เพื่อสานต่อเรื่องราวสุดโรแมนติกบน “สะพานแห่งความรัก” จากนาฬิกาข้อมือ Pont des Amoureux ซึ่งเมซง Van Cleef & Arpels ได้สร้างสรรค์บทใหม่ของเรื่องราวความรักในผลงานนาฬิกาหุ่นกล Lady Arpels Bal des Amoureux Automate นาฬิกาเรือนนี้เล่าเรื่องของ “นาฏกรรมแห่งความรัก” ที่เกิดขึ้นในลานเต้นรำของคาเฟ่ชานเมืองปารีส สถานที่ยอดนิยมของคู่รักในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นฉากหลังของการเต้นรำอันแสนโรแมนติกระหว่างคู่รัก
นาฬิกาเรือนนี้ใช้กลไกขับเคลื่อนหุ่นกลคู่รักให้มาจูบทักทายกันในช่วงเวลาเที่ยงวันและเที่ยงคืน และยังมีปุ่มกดบนตัวเรือนเพื่อให้ผู้สวมใส่สามารถสั่งงานฉากรักนี้ได้ทุกเวลาตามต้องการ นอกจากนี้ กลไกเข็มตีกลับซ้อนระบบ double retrograde system ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคอลเลกชันนี้ ได้รับการติดตั้งดาวสองดวงที่ทำหน้าที่บอกชั่วโมงและนาที ท่ามกลางงานตกแต่งหน้าปัดที่ประณีต
การใช้ศิลปะไล่เฉดในงานลงยาผงสีก่อเงาแสง (grisaille) บนหน้าปัดทำให้เกิดภาพที่เหมือนกับจิตรกรรมค่าต่างแสง (chiaroscuro) โดยมีภาพผืนฟ้าประดับดาวยามราตรีที่สร้างความลึกและมิติให้กับงาน
Lady Arpels Bal des Amoureux Automate watch
นาฬิกาข้อมือเลดี อารเปลส์ “นาฏกรรมแห่งความรัก” ตัวเรือนทองคำสีขาวประดับเพชรร่วมกับงานลงยา กลไกขับเคลื่อนแบบขึ้นลานอัตโนมัติในตัวร่วมกับกลไกเข็มตีกลับระบบคู่ และ หุ่นกลบอกเวลาตามสั่ง

ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมก็มีความงดงามที่ไม่แพ้กัน เช่น การจำลองราวไฟประดับที่ยึดถือความประณีตสูงในงานฝีมือลงยาจุดสี และประติมากรรมทองคำขาวที่ละเอียดอ่อน เพื่อให้ได้ภาพลักษณ์ของถนนสายต่างๆ ในมหานครปารีส
นอกจากนี้ ด้านหลังตัวเรือนยังคงถ่ายทอดเรื่องราวด้วยเทคนิครูปลอกลงยา (enamel decal) บนแก้วไพลินที่ประสานกับงานแกะสลักร่องลายซึ่งแสดงภาพของหนุ่มสาวที่จับคู่เต้นรำ นาฬิกาเรือนนี้จึงเป็นงานศิลป์ที่ไม่เพียงแค่บอกเวลา แต่ยังเป็นตัวแทนของเรื่องราวความรักอันสวยงามที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความโรแมนติก
กลไกขับเคลื่อนระบบใหม่จากการสร้างสรรค์ของเมซง
เสน่ห์ที่ชวนฝันและจินตนาการในงานออกแบบนาฬิกาข้อมือหุ่นกล Lady Arpels Bal des Amoureux Automate นั้น เกิดขึ้นจริงด้วยความพิถีพิถันและการใส่ใจในทุกรายละเอียดของทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากแผนกผลิตนาฬิกาข้อมือ Van Cleef & Arpels ที่กรุงเจนีวา หลังจากสี่ปีกับการศึกษา วิจัย และพัฒนา ทีมผู้เชี่ยวชาญสามารถสร้างสรรค์กลไกหุ่นกลรุ่นใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในคอลเลกชันของเมซง
กลไกที่ถูกพัฒนานี้ทำให้หุ่นกลคู่รักเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต เมื่อระบบขับเคลื่อนเริ่มทำงาน หุ่นกลทั้งสองตัวจะเคลื่อนไหวเข้าหากัน แล้วเอนตัวไปจับมือประสานกัน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นจากการประกอบสามชิ้นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อน ซึ่งเหมือนมนตราที่ทำให้เรื่องราวความรักในรูปแบบหุ่นกลนี้เกิดขึ้นอย่างสมจริง
งานออกแบบนี้ไม่เพียงแต่มีมิติที่มีขนาดเล็ก แต่ยังต้องใช้ความประณีตสูงสุดในการติดตั้งชิ้นส่วนทั้งหมดลงในกรอบตัวเรือนที่เพรียวบาง ในขณะที่การตกแต่งพื้นหน้าปัดยังคงปิดบังรายละเอียดอย่างแยบคายและซ่อนกลไกขับเคลื่อนเอาไว้อย่างลงตัว

เรแนร แบรนารด์ หัวหน้างานวิจัยและพัฒนาแผนกนาฬิกาข้อมือของ Van Cleef & Arpels ได้กล่าวว่า
“สำหรับนาฬิกาข้อมือหุ่นกล Lady Arpels Bal des Amoureux Automate เราต้องการให้ตัวละครคู่รักของเรามีท่วงท่าและอากัปกิริยาที่สมจริงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ นั่นหมายถึงการออกแบบชิ้นส่วนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งในลักษณะเดินเข้าหากันและโค้งตัวมาจับมือประสานกัน ความท้าทายในการสร้างสรรค์อยู่ที่การทำให้ทุกชิ้นส่วนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในท่าทางต่างๆ คล้ายกับคนจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่กระทบต่อความแม่นยำของกลไกในการบอกเวลา”
การออกแบบนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความพยายามอย่างสูงในการทำให้ความรักและความโรแมนติกมีชีวิตขึ้นในรูปแบบของงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและความสามารถของกลไกนาฬิกาข้อมือในระดับสูงสุดด้วย
Grisaille: ไหวพริบเชิงทักษะลงยาอันทรงเอกลักษณ์ของเมซง
เทคนิคลงยาผงสีก่อเงาแสงหรือ grisaille (กรีซายล์) บนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือหุ่นกล Lady Arpels Bal des Amoureux Automate ถือเป็น “หัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฉบับฝรั่งเศส” หรือ métier d’art (เมติเอรส์ ดาร์ต) ซึ่งต้องอาศัยทักษะและความชำนาญที่ลึกซึ้ง รวมถึงความอดทนสูงสุด
งานฝีมือที่มีรากฐานจากเมืองลิโมช ประเทศฝรั่งเศสในช่วงทศวรรษที่ 16 ใช้สารประกอบสำคัญคือ blanc de Limoges (“บลองก์ เดอ ลิโมช” หรือ “ผงหินขาวเมืองลิโมช”) ในการปรุงสีลงยาให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามด้วยสีเทาไล่เฉดที่เต็มไปด้วยความลึกของแสงและเงา ซึ่งถูกเรียกว่า grisaille (มาจากคำว่า gris แปลว่าสีเทา)
เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้ในงานออกแบบหน้าปัดของนาฬิกาข้อมือรุ่นนี้เพื่อสร้างความงามในรูปแบบภาพผืนฟ้าราตรีเหนือกรุงปารีส ผลงานนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนจากการใช้เทคนิคที่มีการผสมผสานสีในหลายเฉด โทนสีที่ไล่เฉดอย่างลงตัวจากการใช้ผงแป้งลงยาสีขาวและสีเทา
ซึ่งสร้างผลลัพธ์ที่เสมือนภาพจิตรกรรมค่าต่างแสง (chiaroscuro) โดยบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือรุ่นนี้จะมีการใช้สีน้ำเงินหลากหลายเฉดและผิวลงยาแต่ละชั้น ก่อนจะเติมประกายสีเหลืองเพื่อให้เกิดความอบอุ่นดุจแสงไฟจากริมถนน

กระบวนการลงยาผงสีก่อเงาแสงนี้ต้องใช้เวลาเกือบ 40 ชั่วโมง และรวมถึงขั้นตอนลนไฟในเตาเผานับสิบครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ
“กระบวนการลงยาผงสีก่อเงาแสงสำหรับนาฬิกาข้อมือรุ่นนี้เต็มไปด้วยโจทย์ท้าทายและทักษะสูงของทีมช่างฝีมือในหลายขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความลึกเชิงมิติของหน้าปัดที่ต้องการความประณีตและพิถีพิถันในทุกขั้นตอน” หัวหน้าฝ่ายพัฒนาหัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฉบับฝรั่งเศสจากแผนกวิจัยและพัฒนางานลงยาของ Van Cleef & Arpels กล่าว
งานออกแบบนี้ไม่เพียงแค่สร้างสรรค์จิตรกรรมลงยาสามมิติที่เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน แต่ยังทำให้แต่ละชิ้นส่วนลงตัวและกลมกลืนไปกับแสงสีเหลืองที่ประดับไปทั่วหน้าปัด นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจในการนำเทคนิคและทักษะประณีตมาใช้ในงานสร้างสรรค์ของเมซง
Extraordinary Objects
ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการในปี ค.ศ. 1906 และ Van Cleef & Arpels ได้คงรักษาตำแหน่งอันโดดเด่นในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตเครื่องประดับอัญมณีระดับสูง ด้วยการสรรค์สร้างผลงาน “ศิลปะวัตถุ” ที่ล้ำค่าและเต็มไปด้วยลูกเล่นสุดเซอร์ไพรส์ จุดประกายจินตนาการที่เกินฝัน ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้าน หรือเครื่องประดับความงาม เช่น ตลับแป้งและขวดน้ำหอม ผลงานเหล่านี้สะท้อนถึงกระแสความนิยมของแต่ละยุคสมัยและทักษะอันยอดเยี่ยมของเมซง
การวิวัฒนาการของหัตถศิลป์ที่ดำเนินไปพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีในแต่ละยุคได้นำไปสู่การสร้างประดิษฐกรรมหุ่นกล ซึ่งเป็นตัวแทนของสุนทรียศาสตร์ใหม่ในการบอกเวลา ทุกนาทีที่ผ่านไปดูเหมือนจะหยุดนิ่งภายใต้การเคลื่อนที่ของประติมากรรมรัตนชาติที่ค่อยๆ ยื่นออกมาจากใจกลางของช่อพฤกษา ขณะเดียวกัน ปีที่หมุนผ่านไปก็เป็นตัวแทนของวงโคจรของมวลดาราในงานออกแบบจำลองมิติอันลึกลับของจักรวาล
ด้วยความเฉียบคมในการคัดสรรวัสดุที่หายากและล้ำค่า, Van Cleef & Arpels ได้รวบรวมและแปรรูปวัสดุเหล่านี้มาเป็นโครงสร้างของประดิษฐกรรมสุดแยบคาย ผลงานเหล่านี้กลายเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนความชำนาญจากหลายศาสตร์หลายสาขา รวมถึงกลไกขับเคลื่อนหลากหลายระบบ งานฝีมือเครื่องประดับชั้นสูง และหัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฉบับฝรั่งเศส โดยไม่ต่างอะไรจากการแสดงถึงความชำนาญในทุกแขนงของเมซง ที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในอาณาจักรมหัศจรรย์เกินฝันของ Van Cleef & Arpels
ทุกผลงานที่สร้างขึ้นคือบทพิสูจน์ถึงภารกิจอันมุ่งมั่นของเมซงในการอนุรักษ์และสืบสานทักษะในด้านต่างๆ ที่ต้องการทั้งความอดทนและเวลาในการสร้างสรรค์

งานวาดแพ็ทเทิร์นชิ้นส่วนผลงานตามภาพวาดร่างแบบลงสีกวอช
นาฬิกาตั้งโต๊ะหุ่นกล “กามเทพกำเนิดรัก”
Naissance de l’Amour automaton
นาฬิกาตั้งโต๊ะหุ่นกล “กามเทพกำเนิดรัก” หรือ Naissance de l’Amour automaton (เนซองซ์ เดอ ลามูโรโตมาต็อง) เป็นผลงานต่อเนื่องในคอลเลกชันที่ Van Cleef & Arpels เริ่มต้นขึ้นจากนาฬิกาตั้งโต๊ะหุ่นกล “กรงฝันฮัม-มิงเบิร์ด” Rêveries de Berylline (แรฟเวอรีส์ เดอ เบริลลีน) เมื่อปี ค.ศ. 2022 ตามมาด้วยนาฬิกาตั้งโต๊ะ “ช่อไสวไซคลาเมน” หรือ Éveil du Cyclamen (เอเวย ดู ซีกลาม็อง) ในปี ค.ศ. 2023 และ “กระดุมทองซ่อนอัปสร” Bouton d’Or (บูรต็อง ดอร) ในปี ค.ศ. 2024
ด้วยความสูง 30 เซนติเมตร กามเทพที่เป็นศูนย์กลางขององค์ประกอบทั้งหมดนี้ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพแห่งความรักจากตำนานทั่วโลก ได้ถ่ายทอดความอ่อนหวานและอ่อนโยนของห้วงอารมณ์ โดยเริ่มต้นจากหัตถศิลป์ไขแว็กซ์เขียว ซึ่งถูกหล่อเป็นประติมากรรมจากทองคำสีขาว ทองคำสีโรส และทองคำสีเหลือง ประดับด้วยเพชร

นาฬิกาตั้งโต๊ะหุ่นกลรุ่นนี้ติดตั้งกลไกขับเคลื่อนให้กามเทพลอยตัวขึ้นจากวงล้อมขนนกจำลองที่เคลือบเงาและไล่เฉดสีได้อย่างงดงาม โดยอาศัยการพัฒนาและการร่วมสร้างสรรค์กับสตูดิโอของ ฟรองซัวส์ ฌูโนด์ (François Junod studios) ในเขตเทศบาลแซงเตอะ-ครัวส์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้กามเทพที่ตั้งอยู่บนเสาทองคำสีโรสและท่าทางประติมากรรมกรีก ได้ลอยขึ้นมางดงามท่ามกลางปุยเมฆทองคำสีขาวประดับเพชรและไพลินสีชมพูสามเฉด
การขยับปีกของกามเทพจะเป็นไปตามท่วงทำนองของชุดระฆังที่คอยส่งเสียงกังวาน ก่อนที่กามเทพจะลดตัวกลับลงสู่ตำแหน่งเดิมที่ใจกลางกรงขนนกสุดวิจิตร
ฐานโครงสร้างของประดิษฐกรรมหุ่นกลทำจาก หินตาเหล็ก (iron eye หรือ “ตาเสือเหล็ก”) ซึ่งเป็นแร่ผสมระหว่างเหล็กแดงเฮมาไทต์กับคริสตัลตาพยัคฆ์ที่ให้เส้นริ้วสลับและจุดละอองทอประกายผ่านการตัดเจียนขึ้นรูปและขัดผิวจนเงางาม เสริมด้วย ฟอสซิลไม้ตาลปาล์มวูด (petrified palmwood) ซึ่งเป็นซากไม้ปาล์มที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินและทับถมจนไม่เน่าเปื่อย กระนั้นก็เกิดการตกตะกอนของสารซิลิกาปะปนในน้ำบาดาลที่แทรกซึมเข้าไปในช่วงเวลาหลายร้อยล้านปี จนกลายเป็น “ไม้กลายเป็นหิน”
วัสดุทั้งหมดถูกคัดเลือกและประดิษฐ์อย่างพิถีพิถัน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Van Cleef & Arpels ก่อนนำไปตัดเจียนเป็นรูปทรงต่างๆ และขัดผิวเพื่อเผยให้เห็นคุณลักษณะของเนื้อแร่ธรรมชาติที่งดงามแกนวงแหวนหมุนได้รอบแท่นฐานทรงกระบอก โดยมีขนนกลงสีเคลือบเงาที่ฝังเพชรสองเส้น ซึ่งทำหน้าที่บอกเวลาผ่านจุดนาทีที่มีสีทองไล่ตำแหน่งต่อเนื่อง
นาฬิกาตั้งโต๊ะจักรกล “ดาราจักรจำลอง”
Planétarium automaton
จากใต้ผืนฟ้าเหนือจัตุรัสว็องโดมสู่ความประทับใจที่ Van Cleef & Arpels มีต่อความงดงามตระการตาของหมู่ดาวกลางห้วงเวหนอันกว้างใหญ่ การสร้างสรรค์อาณาจักร “จินตศิลป์ดาราศาสตร์” หรือ Poetic Astronomy จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการถ่ายทอดจินตนาการถึงเรื่องราวความเป็นไปของเทหวัตถุที่ดารดาษประดับทั่วทิฆัมพร เช่นเดียวกับการนำเอางานต้นแบบ “ท้องฟ้าจำลอง” ระหว่างศตวรรษที่ 18 มาไว้ในระบบสุริยจักรวาลขนาดจิ๋ว

นาฬิกาตั้งโต๊ะจักรกล “ดาราจักรจำลอง” Planétarium automaton
งานประกอบทองคำสีกุหลาบ ทองคำสีขาว และทองคำสีเหลือง ร่วมกับงานฝังทับทิมซ่อนหนามเตย งานประดับทับทิม ไพลินหลากสี โกเมนสีส้มสเปซซาไทต์ เพชร พลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลิ โมราแกลเซโดนี ไข่มุก โมราสลับลายแจสเปอร์ หยกดำ ควอร์ตซ์สีกุหลาบน้ำนม มุกดาจันทรกานต์สีส้ม นิลอัคนีอ็อบซิเดียน ไม้ต้นมะนาว
ฮอลลีขาว ไม้ผักโขม ไม้แก่นซิริโคเต แก้ว อลูมิเนียม เหล็กกล้า ทองเหลือง วัสดุพีวีดีสีทองสัมฤทธิ์ และสีดำ หนัง
หน่วยจักรกล และระบบขับเคลื่อนทั้งหลายประกอบไปด้วยกลไกโคจรเสมือนจริงของสุริยะจักรวาลจำลอง ทำงานร่วมกับระบบบอกเวลาอีก 11 รูปแบบ อาทิเช่นกลไกบอกชั่วโมง/นาที ระบบปฏิทินถาวรตามสุริยคติ แหล่งพลังงานสำรองก่อนนาฬิกาหยุดเดิน 15 วัน
ขับเคลื่อน และบอกเวลาตามสั่ง เสียงดนตรีเป็นท่วงทำนองซึ่งได้รับการออกแบบ สร้างสรรค์มาเป็นพิเศษโดยอาศัยกลไกหีบเพลงทำงานร่วมกับชุดระฆังพร้อมค้อนตีตามจังหวะ ผลงานเอกลักษณ์ มีเพียงชิ้นเดียวในโลก
จุดศูนย์กลางของผลงานคือพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิถีโคจรที่ล้อมรอบด้วยโลก ดวงจันทร์บริวาร และดาวเคราะห์อื่นๆ ทั้งหมดนี้ถูกบรรจุอยู่ภายในกรอบตัวเรือนนาฬิกาข้อมือที่เปี่ยมไปด้วยความประณีต นี่คือจุดเริ่มต้นของคอลเลกชัน Planétarium (ปลาเนตารียอม) ซึ่งนำเสนอทั้งนาฬิกาข้อมือที่มาพร้อมระบบซ้อนกลไก และหุ่นกลขนาดใหญ่สำหรับเป็นของตกแต่งประดับโต๊ะ
สำหรับปีนี้ เมซงได้สร้างสรรค์ Extraordinary Object หรือ “ผลงานศิลปะวัตถุเหนือสามัญ” ในคอลเลกชันนาฬิกาตั้งโต๊ะจักรกล ดาราจักรจำลอง ซึ่งอาศัยการเลือกใช้วัสดุต่างคุณสมบัติและต่างเฉดสีมาเป็นส่วนประกอบในผลงานที่สะท้อนถึงความงามและความลึกลับของจักรวาล
นาฏกรรมดาราจักรจากความชำนาญงานผลิตนาฬิกาของ Van Cleef & Arpels
หุ่นกลดาราจักรจำลองหรือ Planétarium automaton (ปลาเนตารียอม โอโตมาตง) นับเป็นผลงานศิลปะที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาของ Van Cleef & Arpels ด้วยขนาดที่โดดเด่น (สูง 50 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 66.5 ซม.) เป็นเวทีที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลอย่างสมจริง โดยมีดาวพุธ ดาวศุกร์ โลกพร้อมดวงจันทร์บริวาร ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์ที่สามารถมองเห็นได้จากโลกและกล้องโทรทัศน์ทั่วไป

ระบบกลไกอันซับซ้อนของผลงานนี้ทำให้ดาวแต่ละดวงสามารถเคลื่อนที่ตามวงโคจรด้วยความเร็วจริงของมัน ตัวอย่างเช่น ดาวพุธที่ใช้เวลา 88 วันในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ / ดาวศุกร์ 224 วัน / ดาวโลก 365 วัน / ดาวอังคาร 687 วัน / ดาวพฤหัสบดี 11.86 ปี และดาวเสาร์ 29 ปีครึ่ง นอกจากนี้ดวงจันทร์บริวารยังโคจรรอบโลกในเวลา 27.3 วัน
นอกจากความสมจริงในระบบสุริยจักรวาลแล้ว Planétarium automaton ยังได้รับการออกแบบให้สามารถเริ่มต้นการเคลื่อนที่ใหม่ได้ตามคำสั่งของผู้ใช้งานผ่านระบบขับเคลื่อนตามสั่ง ซึ่งสามารถทำงานตามจังหวะดนตรีในขณะเคลื่อนที่ วัสดุที่ใช้ในการผลิตนั้นรวมถึงการเป่าแก้วเป็นพิเศษเพื่อสร้างโดมที่ครอบกลไกจักรกลจำลองระบบสุริยจักรวาล รวมถึงการตกแต่งที่แสดงถึงความหรูหราและวิจิตร โดยดาวตกทองคำประดับเพชรจะเคลื่อนที่ไปทั่วหน้าปัดเพื่อบอกเวลาในแต่ละวัน
เสียงดนตรีจะดังขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ผ่านหน้าปัด 24 ชั่วโมง และการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ดวงน้อยที่ทะยานขึ้นและลงในแนวย้อนวิถีโคจรธรรมชาติจะเพิ่มความตื่นตาตื่นใจให้กับการแสดงนี้
ฐานโครงสร้างของหุ่นกลนี้ประกอบจากไม้หลายชนิด เช่น ไม้ต้นมะนาว, ฮอลลีขาว, ไม้ผักโขม และไม้แก่นซิริโคเต ถูกใช้ในการสร้างรายละเอียดช่องหน้าต่างและบานประตูที่บ่งบอกเวลา / กลางวัน /กลางคืน / วัน / เดือน / ปี และยังมีการติดตั้งกลไกค้อนเคาะระฆัง 15 ลูกเพื่อบอกเวลาอีกด้วย
ด้วยงานฝีมือที่พิถีพิถันและระบบกลไกที่ซับซ้อน Planétarium automaton จึงเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงความงามและความซับซ้อนของจักรวาลในรูปแบบที่หรูหราและน่าทึ่ง
กลศิลป์แห่งมวลวัสดุ
Van Cleef & Arpels นำแรงบันดาลใจจากทัศนียภาพในห้วงเวหนมารังสรรค์ความอัศจรรย์ผ่านการคัดสรรวัสดุอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะรัตนชาติและโลหะล้ำค่า ซึ่งจะต้องถูกนำมาร้อยเรียงอย่างประณีต เพื่อสร้างภาพของจักรวาลที่งดงามและล้ำลึก ในผลงาน Planétarium automaton นี้ พระอาทิตย์ได้ถูกสร้างขึ้นจากทองคำที่เรียงรายเป็นก้านเปลวรังสีไฟมากกว่า 500 เส้น ซึ่งกระจายตัวออกมารอบแกนสุริยะที่ทำจากทองคำสีกุหลาบประดับฝังด้วยไพลินเหลือง โกเมนสีอัคคี (สเปสซาไทต์) และเพชรที่เปล่งประกายอันสวยงาม
เมื่อระบบขับเคลื่อนจักรกลเริ่มทำงาน เส้นทองคำที่ประดับรังสีความร้อนเหล่านี้จะเริ่มไหวกระเพื่อมเบาๆ จากระบบ “สั่น” (trembleur) ที่ติดตั้งภายใน ซึ่งแม้การเคลื่อนไหวจะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่รัตนชาติที่ถูกฝังไว้ในวัสดุนั้นจะจรัสประกายระยิบระยับไปตามแรงสะเทือน ราวกับการเคลื่อนไหวของเปลวเพลิงรอบดวงอาทิตย์ที่อาบแสงสะท้อนกระทบพื้นจักรวาล
ความงามของการเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแค่เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับหุ่นกลดาราจักรจำลอง แต่ยังสะท้อนถึงการสร้างสรรค์งานที่ผสมผสานเทคนิคต่างๆ และวัสดุที่มีมูลค่าสูงอย่างลงตัว สร้างประสบการณ์สุดพิเศษที่ดึงดูดสายตาและใจของผู้ที่ได้สัมผัส
หลากสัญลักษณ์ตามตำนานเทพปกรณัม ในงาน Planétarium automaton ของ Van Cleef & Arpels ทุกดาวเคราะห์ได้รับการออกแบบให้สะท้อนถึงสัญลักษณ์ที่มีความหมายในตำนานเทพปกรณัม ซึ่งเสริมสร้างมิติให้กับจักรวาลจำลองนี้อย่างงดงามและมีความลึกซึ้ง
การเลือกใช้สัญลักษณ์จากเทพนิยายต่างๆ เช่น เปลือกหอยในตำนาน กำเนิดวีนัส ถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของดาวศุกร์ (Venus) พร้อมทั้งเพิ่มความงดงามด้วยควอร์ตซ์สีกุหลาบและทองคำสีกุหลาบฝังไพลินสีชมพู

สุริยจักรวาลระหว่าศตวรรษที่ 18

งานประกอบโครงสร้างทองคำสีเหลืองล้อมดาวอังคาร
ดาวอังคาร (Mars) แสดงความแรงของเทพสงครามผ่านลูกศรอันเป็นอาวุธประจำตัวของท่าน ที่มาพร้อมกับการประดับโมราแกลเซโดนี และทองคำขาวร่วมกับไพลินสีน้ำเงินหลากเฉด ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) สะท้อนพลังของเทพเจ้าจูปิเตอร์ด้วยสายฟ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์ของเทพ และการตกแต่งด้วยแจสเปอร์สลับลายสีส้มเข้มพร้อมทองคำสีเหลืองที่ฝังเพชรประดับ
ในส่วนของดาวพุธ (Mercury) ซึ่งมีการสร้างสรรค์ด้วยโมราแกลเซโดนีและทองคำสีขาว ประดับด้วยไพลินสีน้ำเงิน และดาวโลก (Earth) ก็สะท้อนความงดงามของบ้านเราด้วยหินแจสเปอร์สีเขียวที่ประดับด้วยไพลินสองโทน พร้อมทั้งมีดวงจันทร์บริวาร (Moon) ซึ่งทำจากไข่มุกเม็ดขาวสกาวแสงนวลตา เพิ่มความละมุนตาจากพื้นฉากหลังสีน้ำเงินเข้ม
สุดท้าย ดาวเสาร์ (Saturn) ที่มีความสง่างามสะกดสายตาด้วยการเล่นสีที่ตัดกันระหว่างหยกดำกลางวงแหวนทองคำสีขาว ประดับไพลินเพื่อเพิ่มความลึกลับและน่าหลงใหลให้กับสัญลักษณ์ของเทพเจ้าซาตูร์น ผลงานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอจักรวาลในแง่มุมทางศิลปะที่ละเอียดลออ แต่มันยังเป็นการสร้างสรรค์ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และตำนานที่มีความเชื่อมโยงลึกซึ้งกับค่านิยมและความเชื่อของมนุษย์
การรังสรรค์จักรวาลจำลองในผลงาน Planétarium automaton ของ Van Cleef & Arpels ไม่เพียงแต่เป็นการถ่ายทอดภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจของระบบสุริยะในรูปแบบทางเทคนิคและศิลปะที่สวยงาม แต่ยังสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความงามที่ดั่งฝันและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ผ่านการใช้วัสดุที่มีค่าและล้ำค่าอย่างแผ่นพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลี บางเฉียบ ซึ่งจัดเรียงเป็นสิบห้าชั้นวง เพื่อรองรับงานประดับดาวที่ทำจากทองคำสีกุหลาบและทองคำสีขาว

การฝังเพชรประดับเกล็ดละอองบนท้องฟ้าที่เคลื่อนตัวไปตามแนววิถีโคจรของดาวเคราะห์บริวารนั้น ทำให้ผลงานนี้ดูราวกับเป็นการจำลองการเคลื่อนไหวของดวงดาวในจักรวาลที่เป็นจริง แต่ด้วยการฝังวัสดุต่างๆ ที่มีความล้ำค่าและประณีต ทำให้ผลงานนี้มีความงามที่ไม่เหมือนใคร
ดาวเคราะห์แต่ละดวง รวมทั้งดาวตกที่เคลื่อนตัวตามวงโคจรของตนเองอย่างสมจริง ภายในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ สร้างความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความสวยงามของจักรวาล ความลึกซึ้งของงานศิลปะนี้ช่วยปลุกความรู้สึกในสองอารมณ์ที่ต่างกัน ทั้งความน่าเกรงขามของปรากฏการณ์ธรรมชาติในระบบสุริยะที่เต็มไปด้วยความลึกลับ และความเป็นเลิศทางเทคนิคงานฝีมือที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความประณีต.
ทั้งสองอารมณ์นี้สะท้อนถึงการผสมผสานความงามทางธรรมชาติและฝีมือทางศิลปะที่ท้าทายขีดจำกัดของจินตนาการมนุษย์ในการสร้างผลงานที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังเป็นการยกย่องความยิ่งใหญ่ของจักรวาลอีกด้วย
“เครื่องประดับบอกเวลา”
ธรรมเนียมงานออกแบบของ Van Cleef & Arpels
การบรรจบกันระหว่างศิลปะการผลิตนาฬิกาข้อมือกับความประณีตของงานเครื่องประดับชั้นสูงนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างสรรค์ที่ผสมผสานระหว่างเทคนิคการทำงานที่ซับซ้อน แต่ยังสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์อันล้ำลึกของแบรนด์ที่นำพาผลงานมาอยู่ในโลกของ “เครื่องประดับบอกเวลา” ที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นในด้านงานศิลปะ
ในแต่ละผลงานของ Van Cleef & Arpels นาฬิกาข้อมือไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับบอกเวลาเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องประดับที่สะท้อนถึงความงดงามที่เกิดจากการคิดค้นอย่างลึกซึ้ง ด้วยการซ่อนหน้าปัดในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้สวมใส่สามารถดูเวลาได้อย่างละเอียดและมีสุนทรียะในทุกๆ การเคลื่อนไหว

การผสมผสานระหว่างความประณีตในงานเครื่องประดับและเทคนิคการทำงานที่แยบคาย ยังแสดงออกมาในตัวกลัดซ่อนที่เป็นศิลปะเฉพาะตัว พร้อมทั้งการจัดการชิ้นส่วนต่างๆ ให้มีความสง่างามและความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ตัวสายของนาฬิกาได้ถูกออกแบบมาให้โอบกระชับข้อมือได้อย่างสบาย และนุ่มนวลทุกการเคลื่อนไหว
ไม่เพียงแค่ความงามภายนอก รัตนชาติที่เลือกใช้ในแต่ละชิ้นยังผ่านการคัดสรรมาอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุด เพื่อให้ผลงานที่ออกมานั้นมีความสมบูรณ์แบบทั้งในด้านความงามและความทนทาน นอกจากนี้ ยังมีการคำนึงถึงความลงตัวในการจับคู่สีของอัญมณีเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณ์ของแต่ละชิ้นงานให้โดดเด่นและสอดคล้องกับสไตล์ของผู้สวมใส่.
ผลงานเครื่องประดับบอกเวลาของ Van Cleef & Arpels จึงเป็นเครื่องประดับที่มีคุณค่าไม่เพียงแต่ในแง่ของเวลา แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงศิลปะที่ซับซ้อนและล้ำลึก ที่สามารถดึงดูดความสนใจในทุกการเคลื่อนไหว
ภาพวาดลงสีนาฬิกาข้อมือ Cadenas ประมาณปีค.ศ.1936 จากแผนกจัดเก็บตัวอย่างผลงาน และเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ Van Cleef & Arpels
นาฬิกาข้อมือ Cadenas
ในปีค.ศ. 1935 นาฬิกาข้อมือ Cadenas (กาเดอนาส์) ได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานสัญลักษณ์ของแบรนด์ ที่สะท้อนถึงการผสมผสานความงามสง่าเข้ากับประโยชน์ใช้สอยได้อย่างลงตัว ผลงานชิ้นนี้ไม่เพียงแค่มีการออกแบบที่โดดเด่น แต่ยังมีความแยบคายทางเทคนิคที่ทำให้มันกลายเป็นผลงานมรดกของเมซงแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงสร้างสายโซ่คู่ขนานทรงปล้องท้องงูที่เชื่อมต่อกับตัวเรือนหน้าปัดนาฬิกาที่จำลองมาจากรูปทรงของแม่กุญแจ ซึ่งมอบความยืดหยุ่นและความสะดวกสบายในการสวมใส่ โอบกระชับรอบข้อมือได้อย่างแนบเนียน
การออกแบบที่โดดเด่นนี้ทำให้ผู้สวมใส่สามารถดูเวลาได้อย่างแยบยล โดยการพลิกข้อมือเพียงเล็กน้อย เนื่องจากหน้าปัดมีฐานลาดเอียงที่ไม่เปิดเผยให้บุคคลอื่นเห็นในมุมมองปกติ นาฬิกาข้อมือ Cadenas จึงเป็นเครื่องประดับข้อมือที่มีความภูมิฐานและเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ตัวเรือนทองคำสีเหลืองประกอบทองคำสีขาว ฝังเพชร และไพลิน
กลไกขับเคลื่อนระบบควอร์ตซ์สวิส
เพื่อสืบสานความแยบคายในเชิงประดิษฐกรรม Van Cleef & Arpels ได้รังสรรค์รุ่นใหม่ของนาฬิกาข้อมือ Cadenas โดยคงรูปแบบสายโซ่ “ปล้องท้องงู” ที่ทำจากทองคำสีเหลือง รวมกับตัวเรือนกรอบหน้าปัดที่ฝังเพชรเกล็ดหิมะแบบจิกไข่ปลาตัดขอบ
พร้อมทั้งการจัดเรียงไพลินสีน้ำเงินเจียระไนเหลี่ยมจัตุรัส (princess-cut) ที่สะท้อนแสงและความงามได้อย่างงดงาม บนชิ้นส่วนตัวกลัดซ่อนของสายคาดที่มีการฝังไพลินเหลี่ยมจัตุรัสเรียงแถวเดี่ยว เช่นเดียวกับพื้นหน้าปัดนาฬิกาที่ทำจากทองคำสีขาว ซึ่งฝังเพชรเหลี่ยมเกสรที่ส่องประกายเจิดจ้า ทำให้นาฬิกาข้อมือ Cadenas กลายเป็นเครื่องประดับบอกเวลาที่สะท้อนถึงความงามและความประณีตอย่างแท้จริง
ผลงานสัญลักษณ์ Van Cleef & Arpels นับจากปีค.ศ. 1935
นาฬิกาข้อมือ Cadenas ถือเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญของแบรนด์ ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวทางการออกแบบ โดยเริ่มต้นจากการออกแบบตัวเรือนทองคำสีเหลืองในปีค.ศ. 1935 ซึ่งเป็นต้นแบบแรกของนาฬิกาข้อมือ Cadenas ก่อนที่ในปีค.ศ. 1936 จะมีการวางจำหน่ายรุ่นที่มีการฝังไพลินและทับทิมเจียระไนปลายสอบ เรียงแถวเดี่ยวคาดขอบหน้าตัดลาดเอียงเหนือตัวเรือน รวมถึงการเพิ่มลูกเล่นที่โดดเด่นในตำแหน่งด้านหลังตัวซ่อนกลไกตัวกลัดสายคาด
การใช้สีรัตนชาติตัดโทนกับโลหะโครงสร้างในรุ่นต่าง ๆ ทำให้ Cadenas กลายเป็นผลงานที่มีความหลากหลายและถูกนำมาพลิกแพลงตามความนิยมในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่รุ่นฝังเพชรในปีค.ศ. 1938 และมรกตในปีค.ศ. 1943 นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบสายโซ่ปล้องท้องงูที่ทำจากแพลทินัมฝังเพชรเหลี่ยมเกสรจิกไข่ปลาร่วมกับเพชรเหลี่ยมบาแก็ตต์แถวเดี่ยวบนตัวเรือน ตลอดจนการปรับเปลี่ยนวัสดุสายโลหะปล้องท้องงูไปเป็นสายหนัง ที่ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

นาฬิกาข้อมือ Cadenas ปีค.ศ. 1944
ตัวเรือนแพลทินัมประกอบทองคำสีเหลืองฝังเพชร
Van Cleef & Arpels Collection
นาฬิกาข้อมือ Cadenas ปีค.ศ. 1972
ตัวเรือนทองคำสีเหลืองประกอบไม้เล็ตเตอร์วูด และสายหนัง
Van Cleef & Arpels Collection
การนำรูปทรงของใช้ในบ้านอย่างแม่กุญแจมารังสรรค์เป็นตัวเรือนนาฬิกาข้อมือถือเป็นการประดิษฐกรรมที่แสดงถึงการรื้อฟื้นแนวทางงานออกแบบ “สำเร็จรูป” ซึ่งเริ่มต้นจากการนำเสนอโดย มารเซล ดูชองพ์ ศิลปินหลากความสามารถในทศวรรษ 1910 และขยายผลโดยกลุ่มศิลปินลัทธิเหนือจริงในช่วงทศวรรษ 1930 นาฬิกาข้อมือ Cadenas ยังสะท้อนถึงวิถีมารยาทสังคมของสุภาพสตรีในยุคนั้น ที่ไม่สามารถดูเวลากลางที่สาธารณะโดยยกข้อมือขึ้นได้ จึงมีการติดตั้งหน้าปัดนาฬิกาในตำแหน่งลาดเอียงกับแนวข้อมือ เพื่อให้ผู้สวมใส่สามารถ “ลอบดูเวลา” ได้อย่างแยบคาย โดยไม่เปิดเผยให้คนรอบข้างเห็น
ด้วยการออกแบบที่มีความละเอียดอ่อนและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในยุคสมัยนั้น นาฬิกาข้อมือ Cadenas จึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องประดับบอกเวลา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความงดงามและมารยาทที่งดงามในสังคมของสุภาพสตรีในยุค 1930
นาฬิกาข้อมือแถบริบบินซ่อนเวลา Ruban Mystérieux
นาฬิกาข้อมือ Ruban Mystérieux (รูบอง มีซเตอริเยอซ์) จาก Van Cleef & Arpels เป็นหนึ่งในผลงานที่สะท้อนถึงศิลปะในการตัดเย็บ ซึ่งถือเป็นแหล่งแรงบันดาลใจสำคัญของเมซงมาตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ ความอ่อนช้อยและบอบบางของแถบแพรที่รัดรอบสรีระได้อย่างแนบเนียน ได้ถูกถ่ายทอดมาในรูปแบบของตัวเรือนวงกำไลแถบริบบินที่รองรับเพชรเดี่ยวคุณภาพสูงเจียระไนทรงวงรีขนาด 3.72 กะรัต ภายในมีระบบกลไกเลื่อนที่เผยหน้าปัดผลึกแก้วคริสตัลระยับแสง ซึ่งติดตั้งเข็มบอกชั่วโมงและนาทีท่ามกลางงานฝังเพชรที่เพิ่มความงดงามและความหรูหราให้กับนาฬิกา
การออกแบบนาฬิกา Ruban Mystérieux ได้รับการพัฒนาโดยใช้กลไกไขลานด้วยมือ ซึ่งทำให้การทำงานของระบบมีความละเอียดและต้องการความพิถีพิถันในการประกอบทุกชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ

ตัวเรือนทองคำสีขาวประกอบทองคำสีกุหลาบรองรับเพชรเดี่ยวคุณภาพ DIF เจียระไนทรงวงรีขนาด 3.72 กะรัตร่วมกับเทคนิคซ่อนหนามเตยฝังไพลิน และมรกต ตกแต่งรายละเอียดด้วยมรกต, เพชร, แม่มุกขาว, ระบบบอกเวลาใช้กลไกไขลานด้วยมือ
ผลงานเอกลักษณ์ มีเพียงชิ้นเดียวในโลก
ตัวเรือนของนาฬิกาใช้โลหะทองเพื่อรองรับงานฝังเพชรเหลี่ยมเกสรชิดขอบ ตัวเรือนจะมีลักษณะเหมือน “พรมหิมะ” ที่สวยงามประดับไปทั่วโครงสร้างของนาฬิกา พร้อมกับงานฝังไพลินและมรกตในเทคนิค Mystery Set ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรในปีค.ศ. 1933 โดย Van Cleef & Arpels การฝังอัญมณีที่ลงตัวและแยบคายในร่องรางทองนั้นช่วยให้ทุกๆ ชิ้นส่วนประดับอัญมณีกลมกลืนไปกับตัวเรือนอย่างลงตัว เสมือนกับผ้าพรมหิมะที่ประดับไปด้วยอัญมณีที่มีประกายระยิบระยับและละเอียดอ่อนเหมือนแพรใยกำมะหยี่
การผสมผสานของงานฝีมือที่ยอดเยี่ยมกับกลไกที่ซับซ้อนของ Ruban Mystérieux ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่สะท้อนถึงความเป็นเลิศในงานออกแบบเครื่องประดับบอกเวลาอย่างแท้จริง
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกเรือนเวลาสุดล้ำได้ที่ Revolution Thailand แหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับนักสะสมนาฬิกาตัวจริง
ภาพ / ที่มา:Van Cleef & Arpels

