ศิลปะแห่งกลไกอันประณีต การหลอมรวมนวัตกรรมและหลักการดั้งเดิมแห่ง Glashütte
ในหุบเขาเล็กๆ แห่งเมืองกลาชุตเตอ (Glashütte) ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งกำเนิดแห่งศาสตร์การประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงของเยอรมนี ชื่อของ Moritz Grossmann ไม่ได้เป็นเพียงชื่อแบรนด์นาฬิกา แต่เป็นสัญลักษณ์ของหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือการหลอมรวมนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ากับหลักการสร้างสรรค์นาฬิกาแบบดั้งเดิมที่พิสูจน์แล้วตามกาลเวลา หัวใจสำคัญคือความเชื่อมั่นว่า คุณค่าสูงสุดจะเกิดขึ้นได้จากการนำเสนอคุณภาพสูงสุด กลไกอันละเอียดอ่อน และดีไซน์ที่ไม่มีวันตาย แนวทางแห่งความสมบูรณ์แบบนี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนอีกครั้งผ่านการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ BENU Power Reserve ซึ่งเปรียบเสมือนการเล่าเรื่องราวการพัฒนาอย่างมีหลักการ ผ่านรายละเอียดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อย่างประณีตและงดงามในทุกมิติ

รายละเอียดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
ตัวเรือนดีไซน์เรียบง่ายที่มาในโทนสีโรสโกลด์และไวท์โกลด์ (ซึ่งมีให้เลือกสองรุ่น) หน้าปัดของนาฬิกาที่ Moritz Grossmann ได้รังสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยการเน้นหนักที่การผสมผสานพื้นผิวที่หลากหลายอย่างกลมกลืน สิ่งที่น่าสนใจคือการนำลวดลายที่เรียกขานว่า Azurage มาใช้เป็นครั้งแรกในคอลเลกชัน Power Reserve นี้ ซึ่งลวดลาย Azurage นี้คือเทคนิคการสลักเป็นร่องวงกลมที่ละเอียดระดับไมโครบนวงแหวนรอบนอก โดยทำหน้าที่ดักจับและสะท้อนแสงให้เกิดมิติได้อย่างน่าหลงใหล มันสร้างความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนกับศูนย์กลางหน้าปัดที่คงไว้ด้วยพื้นผิวด้านที่นุ่มนวลในเฉดสีเงินเงา (Argenté) ทำให้รู้สึกถึงความสงบและลุ่มลึก
องค์ประกอบเหล่านี้ได้รับการเสริมความสมบูรณ์แบบด้วย ชุดเข็ม รูปแบบใหม่ที่ได้รับการเปิดตัวพร้อมกัน เป็นเข็มที่ผลิตจากสตีลและรังสรรค์ขึ้นภายในโรงงานนี้ ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะโค้งเล็กน้อยและปลายเรียวแหลมอย่างงดงาม หลังจากผ่านขั้นตอนการลบเหลี่ยมและขัดเงา ช่างฝีมือจะนำเข็มเหล่านั้นไปอบด้วยความร้อนตามกรรมวิธีดั้งเดิมจนได้สีน้ำเงินเข้มจัดอันเป็นเอกลักษณ์ ล้วนสะท้อนถึงการเคารพวิธีการดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง และยังให้การอ่านค่าที่ชัดเจนในทุกมุมมอง


กลไก BENU Power Reserve
แต่ความงดงามที่แท้จริงของ BENU Power Reserve อยู่ที่ ‘จิตวิญญาณ’ ภายใน นั่นก็คือ Calibre 100.2 ซึ่งเป็นชุดกลไกไขลานด้วยมือที่เปี่ยมด้วยศาสตร์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาแบบ Glashütte กลไกนี้มีพลังงานสำรองถึง 42 ชั่วโมง และหัวใจสำคัญของรุ่นนี้คือ มาตรวัดพลังงานสำรองแบบเส้นตรง ที่ถูกจัดวางในช่องหน้าต่างเล็กๆ ใต้ตำแหน่ง “12” บนหน้าปัด มันไม่ได้เป็นเพียงฟังก์ชันทางเทคนิค แต่เป็น ‘สัมผัสแห่งกลไก’ ที่น่าประทับใจ แถบบาร์สองสี (น้ำเงินและขาว) ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบเฟืองดิฟเฟอเรนเชียล จะเผยให้เห็นแถบสีขาวทั้งหมดเมื่อกลไกถูกไขลานเต็มที่ และเมื่อกำลังสำรองลดลง แถบสีน้ำเงินก็จะค่อยๆ ปรากฏเพิ่มขึ้น เป็นการแสดงออกอย่างมีชีวิตชีวาถึงการใช้พลังงานของนาฬิกา
งานฝีมือไม่ได้จบลงแค่ด้านหน้า เพราะฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์ได้เผยให้เห็นงานฝีมือช่างเยอรมันชั้นยอดที่หาได้ยาก ชิ้นส่วนกลไกได้รับการตกแต่งอย่างประณีตละเอียดอ่อนตามมาตรฐานสูงสุด รวมถึงการใช้แท่นเครื่องสองส่วนสาม (2/3 plate) ที่ทำจากเงินเยอรมันที่ไม่ผ่านการชุบ ทำให้เนื้อโลหะสามารถเกิดคราบแพติน่า (Patina) ที่สวยงามตามกาลเวลา บาลานซ์แบบ Grossmann อันเป็นเอกลักษณ์ สกรูปรับละเอียดไมโครเมตรบนคานคอหงส์แบบสมดุล (Balance Cock) และการแกะสลักลายด้วยมือบนชิ้นส่วนสำคัญ ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำถึงปรัชญาของแบรนด์ที่ว่าทุกรายละเอียดที่มองไม่เห็นก็สำคัญไม่แพ้รายละเอียดที่มองเห็นได้ BENU Power Reserve จึงเป็นผลงานที่เฉลิมฉลอง “Schönstes deutsches Handwerk” หรืองานฝีมือแบบเยอรมันที่งดงามที่สุดอย่างแท้จริง


บทวิเคราะห์ภาพรวม Moritz Grossmann BENU Power Reserve
สำหรับ Moritz Grossmann BENU Power Reserve นับได้ว่าเป็นนาฬิกาไขลานด้วยมือที่สานต่อมรดกแห่ง Glashütte โดยมีการปรับปรุงรายละเอียดการออกแบบให้ทันสมัยและประณีตยิ่งขึ้น ตัวเรือนมีให้เลือกทั้งไวท์โกลด์และโรสโกลด์ ขนาด 41 มม. หัวใจหลักคือหน้าปัดสีเงินเงา (Argenté) ที่มีการนำเทคนิค Azurage (ร่องวงกลมละเอียด) มาใช้เป็นครั้งแรกบนวงแหวนรอบนอกเพื่อสร้างมิติของแสงและเงา ชุดเข็มเหล็กรูปทรงใหม่ได้รับการขัดแต่งและเผาด้วยความร้อนให้เป็นสีน้ำเงินอย่างงดงาม ตัวนาฬิกาขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 100.2 ซึ่งโดดเด่นด้วยฟังก์ชันมาตรวัดพลังงานสำรองแบบเส้นตรงสองสี (ขาว/น้ำเงิน) ที่ติดตั้งอยู่ใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และยังคงไว้ซึ่งงานตกแต่งกลไกแบบเยอรมันชั้นสูงที่มองเห็นได้ผ่านฝาหลังแซฟไฟร์
ในความเห็นส่วนตัว BENU Power Reserve เรือนนี้เป็นบทสนทนาระหว่างอดีตและอนาคตของศาสตร์การประดิษฐ์นาฬิกา สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือการที่แบรนด์เลือกที่จะลงทุนใน ความสมดุลและความละเอียดอ่อน แทนที่จะเป็นความหรูหราที่ฉูดฉาด การใช้ลวดลาย Azurage บนหน้าปัดเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เพราะมันช่วยให้หน้าปัดมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อมีแสงตกกระทบ แต่ยังคงรักษาความเรียบง่ายและคลาสสิกไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันไม่ได้ตะโกนว่าตัวเองคือนาฬิการาคาแพง แต่กระซิบถึงคุณค่าของงานฝีมือที่ใช้เวลาและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ การได้เห็นมาตรวัดพลังงานสำรองที่เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำเงินอย่างช้าๆ ก็เป็นเหมือนการเตือนใจถึงกลไกที่มีชีวิตชีวาอยู่บนข้อมือของเรา เป็นการผสานฟังก์ชันทางเทคนิคเข้ากับความรู้สึกทางสุนทรียะได้อย่างลงตัวที่สุด ทำให้ BENU Power Reserve เป็นนาฬิกาที่เต็มไปด้วย ‘ความงามที่ซับซ้อน’ และควรค่าแก่การเป็นชิ้นงานสะสมสำหรับผู้ที่ชื่นชมงานฝีมือชั้นยอดอย่างแท้จริง


ข้อมูลทางเทคนิค
- ตัวเรือน: มีให้เลือกในตัวเรือนโรสโกลด์และไวท์โกลด์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 41.0 มิลลิเมตร
- หน้าปัด: สีเงินเงา (Argenté) วงแหวนรอบนอกตกแต่งด้วยลวดลาย Azurage ซึ่งเป็นลวดลายวงกลมร่องละเอียดที่เล่นกับแสงเป็นครั้งแรกในคอลเลกชันนี้
- ชุดเข็ม: เข็มสตีลรูปทรงใหม่ ถูกขัดแต่งด้วยมือและเผาด้วยความร้อนตามกรรมวิธีดั้งเดิมจนได้สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์
- กลไก: ใช้กลไกผลิตจากโรงงาน Calibre 100.2 ระบบไขลานด้วยมือ มีพลังงานสำรอง 42 ชั่วโมง
- ฟังก์ชันหลัก: ชั่วโมง นาที วินาทีย่อยพร้อมระบบหยุดเข็มวินาที และที่โดดเด่นคือ มาตรวัดพลังงานสำรองแบบเส้นตรงสองสี (ขาว/น้ำเงิน) ขับเคลื่อนด้วยระบบเฟืองดิฟเฟอเรนเชียล แสดงสถานะใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา
- สาย: หนังคุณภาพสูง (เช่น หนังจระเข้หรือหนังลูกวัว) พร้อมหัวเข็มขัดแบบหัวหมุดทำจากโลหะ
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
Louis Vuitton Tambour Convergence สไตล์วินเทจมินิมัลที่ดูร่วมสมัย พร้อมลีลาการบอกเวลาที่แตกต่าง
Oris x Cervo Volante เมื่อนาฬิกาพาเรากลับสู่ธรรมชาติแห่งสวิส ชมความหรูหราที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
นาฬิกาหรูจะไปทางไหน? สรุปประเด็นร้อน เจาะลึกทุกมุมมองจาก FHH Watch Summit ครั้งแรกที่ New York

