Moritz Grossmann: เจาะลึกประวัติ เบื้องหลังงานฝีมือและ 5 รุ่นน่าสะสม

Date:

การเดินทางของจิตวิญญาณแห่งงานฝีมือ เจาะลึกเรื่องราวของ Moritz Grossmann แบรนด์ที่สานต่อตำนานงานฝีมือแห่งเยอรมันจาก Glashütte

หากจะเล่าเรื่องราวของแบรนด์นาฬิกาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ คำตอบคงต้องย้อนกลับไปยังดินแดนแห่งงานฝีมืออย่างเมือง กลาสฮุตเทอ (Glashütte) ประเทศเยอรมนี ณ ที่แห่งนี้ ในศตวรรษที่ 19 ชายผู้เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์และพรสวรรค์นามว่า คาร์ล โมริตซ์ กรอสส์มันน์ ได้สร้างรากฐานที่สำคัญให้กับวงการนาฬิกาโลก หลังจากออกเดินทางไปทั่วเพื่อสั่งสมความรู้ เขากลับมาพร้อมกับความตั้งใจที่แน่วแน่ และก่อตั้งโรงงานของเขาขึ้นในปี 1854 กรอสส์มันน์ คือผู้บุกเบิกในหลายด้าน เขาเป็นนักประดิษฐ์ผู้คิดค้นกลไกที่ซับซ้อน นักวิชาการผู้ถ่ายทอดความรู้ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง German School of Watchmaking ที่เป็นรากฐานสำคัญของการผลิตนาฬิกาในภูมิภาคนี้ แต่แล้วเรื่องราวของเขาก็ต้องหยุดลงอย่างกะทันหันในปี 1885

กว่าศตวรรษผ่านไป ชื่อของ กรอสส์มันน์ ได้รับการฟื้นฟูโดยผู้หญิงคนหนึ่งที่เล็งเห็นคุณค่าในมรดกที่เขาทิ้งไว้ นั่นคือ คริสติน ฮัทเทอร์ เธอต้องการนำจิตวิญญาณแห่ง “Schönstes deutsches Handwerk” หรือ “งานฝีมือเยอรมันที่ดีที่สุด” กลับมาอีกครั้ง ในปี 2008 Grossmann Uhren จึงถือกำเนิดขึ้น ณ เมืองกลาสฮุตเทอ และได้นำเสนอผลงานชิ้นแรกในชื่อ BENU ในปี 2010

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือความบริสุทธิ์ของงานฝีมือ ทุกองค์ประกอบถูกสร้างสรรค์ด้วยความตั้งใจ เส้นสายของตัวเรือนมีเสน่ห์ที่เรียบง่ายและดูเหนือกาลเวลา ลองจินตนาการถึงวงล้อความสมดุล (Balance Wheel) ที่แกว่งไปมาอย่างช้าๆ มีจังหวะที่สงบและมั่นคง เข็มนาฬิกาที่บางเฉียบราวกับใบมีด ถูกเผาด้วยความร้อนจนเกิดเป็นสีน้ำเงินเข้ม สะท้อนถึงขั้นตอนการทำแบบดั้งเดิมที่หายาก ชิ้นส่วนกลไกด้านในเผยให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียด ทุกชิ้นถูกขัดเงาและตกแต่งอย่างประณีต จนเกิดเป็นประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสง

การเดินทางของ Moritz Grossmann จึงเป็นการนำความงามของอดีตมาผสานเข้ากับความก้าวหน้าของปัจจุบัน เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์

บุคคลสำคัญ ผู้ให้กำเนิดและผู้ฟื้นฟู

Carl Moritz Grossmann ผู้บุกเบิกแห่งยุคแรก

เรื่องราวของ คาร์ล โมริตซ์ กรอสส์มันน์ เริ่มต้นที่เมืองเดรสเดินในปี 1826 แม้จะเติบโตขึ้นในฐานะลูกชายของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ แต่เขาก็มีความหลงใหลในเทคโนโลยีและความซับซ้อนของกลไกเวลาอย่างแรงกล้า ด้วยความกระหายใคร่รู้ เขาออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อสั่งสมความรู้ด้านการทำนาฬิกา และเมื่อกลับมายังบ้านเกิดในปี 1854 เขาก็ได้ทำตามความฝันด้วยการตั้งสตูดิโอของตัวเองขึ้นที่เมืองกลาสฮุตเทอ กรอสส์มันน์ เป็นทั้งนักประดิษฐ์ นักวิชาการ และผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนการทำนาฬิกา ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะส่งต่อความรู้และงานฝีมือให้กับคนรุ่นหลัง

Christine Hutter ผู้ฟื้นฟูมรดก

กว่าหนึ่งศตวรรษผ่านไป เรื่องราวของ กรอสส์มันน์ ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำมือของ คริสติน ฮัทเทอร์ ผู้ซึ่งเริ่มต้นเส้นทางอาชีพด้วยการเป็นช่างทำนาฬิกาเช่นกัน เธอหลงใหลในความงามเหนือกาลเวลาของนาฬิกากลไกโบราณ เธอสั่งสมประสบการณ์ในบริษัทนาฬิกาชั้นนำมากมาย จนกระทั่งได้ค้นพบมรดกทางศิลปะของ กรอสส์มันน์ แรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์ของเขาทำให้เธอตัดสินใจซื้อสิทธิ์ในชื่อแบรนด์นี้มา และในที่สุดวันที่ 11 พฤศจิกายน 2008 เธอก็ได้ก่อตั้ง Grossmann Uhren GmbH ขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อปรัชญา “Schönstes deutsches Handwerk”

สไตล์นาฬิกา มรดกและความงามอันอ่อนช้อย

นาฬิกาของแบรนด์นี้จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ BENU LINE และ TEFNUT LINE แต่ละไลน์ก็มีสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป

BENU LINE (มรดกที่ยังคงเดินหน้า)

  • HERITAGE: สะท้อนแก่นแท้ของความคลาสสิกที่สืบทอดมาจากอดีต ด้วยหน้าปัดที่มีตัวเลขอารบิกคมชัดและเข็มนาฬิกาทรงใบไม้ (lance-shaped hands) ที่ดูสง่างาม
  • CONTEMPORARY: ผสานงานฝีมือดั้งเดิมเข้ากับดีไซน์ที่ทันสมัย หน้าปัดแบบเปิดเผยกลไกที่ซับซ้อนและงดงามราวกับงานศิลปะ เป็นการเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับอนาคตได้อย่างลงตัว

TEFNUT LINE (ความงามอันอ่อนช้อย)

  • CLASSIC: เน้นดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่มีระดับ ตัวเลขโรมันที่ประณีตและหน้าปัดที่ดูสะอาดตา ทำให้รู้สึกถึงความสงบและหรูหรา
  • JEWELLERY: จุดสูงสุดของความหรูหราและงานศิลปะ ด้วยการประดับเพชรหรืออัญมณีล้ำค่าอื่น ๆ ที่ขอบตัวเรือนและหน้าปัด รวมถึงการเผยกลไกด้านในที่ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง

แนะนำรุ่นน่าสะสม สำหรับผู้ที่หลงใหลในงานฝีมือ

สำหรับใครที่กำลังมองหาจุดเริ่มต้นในการสะสมนาฬิกาของแบรนด์นี้ หรือต้องการรุ่นยอดนิยมที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของแบรนด์ ไม่หวือหวา หรือตะโกนก็จะมีรุ่นที่อยากแนะนำดังนี้

BENU Power Reserve: หากจะเริ่มสะสมนาฬิกาของแบรนด์นี้ นี่คือรุ่นที่อยากแนะนำให้ลองสัมผัสเป็นอันดับแรกๆ ด้วยความเรียบง่ายที่ดูสง่างาม แต่ซ่อนลูกเล่นที่ฉลาดไว้ภายใน การแสดงสถานะพลังงานสำรองบนหน้าปัดที่ดูคลาสสิกแต่มีดีไซน์ที่ทันสมัย ทำให้รุ่นนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมที่ชื่นชอบนาฬิกาที่ดูดีในทุกโอกาส และยังใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน เป็นการผสมผสานระหว่างความงามเหนือกาลเวลาและฟังก์ชันที่จำเป็นได้อย่างลงตัว

BENU Tourbillon: สำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกของนาฬิกาขั้นสูง นี่คือรุ่นที่ต้องมีไว้ในคอลเล็กชัน ความโดดเด่นของ Tourbillon ที่เปิดเปลือยให้เห็นบนหน้าปัดราวกับเป็นงานศิลปะที่กำลังเต้นระบำอยู่ตลอดเวลา ทำให้รุ่นนี้มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างที่ยากจะปฏิเสธ มันคือการแสดงออกถึงความเชี่ยวชาญทางเทคนิคระดับสูงสุดของแบรนด์ และเป็นหนึ่งในรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Moritz Grossmann อย่างแท้จริง ทำให้เป็นที่ต้องการในหมู่นักสะสมทั่วโลก

TEFNUT Twist:

รุ่นนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหานาฬิกาคลาสสิกที่แตกต่างออกไป ด้วยดีไซน์ที่ดูเรียบง่ายสง่างาม แต่ซ่อนกลไกการเปลี่ยนสายนาฬิกาที่ง่ายดายไว้ภายใน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนลุคได้ตามต้องการ รุ่นนี้จึงตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาที่สามารถเป็นได้ทั้งเพื่อนคู่กายในชีวิตประจำวันและเครื่องประดับชิ้นสำคัญในโอกาสพิเศษ

TEFNUT Lady Butterfly: หากจะพูดถึงความพิเศษทางด้านศิลปะ นี่คือรุ่นที่ไม่อาจมองข้าม การนำงานศิลปะมาบรรจงวาดบนหน้าปัดด้วยมืออย่างประณีต ทำให้รุ่นนี้เป็นมากกว่านาฬิกา ราวกับว่าคืองานศิลปะชั้นสูงที่สวมใส่ได้ เป็นที่ต้องการในหมู่ผู้ที่หลงใหลในความงามอันละเอียดอ่อนและต้องการนาฬิกาที่มีเรื่องราวเฉพาะตัว

และหากพูดถึงนาฬิการุ่น UNIVERSALZEIT ของ Moritz Grossmann นี่คือรุ่นที่น่าสนใจอย่างยิ่งและแตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ อย่างชัดเจนในหลายมิติ หากจะพิจารณาว่าน่าสะสมหรือไม่ ลองพิจารณาจากมุมมองเหล่านี้ดูก่อน

ในเชิงของการออกแบบและความโดดเด่น

นาฬิการุ่นนี้โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็นด้วยดีไซน์ที่ไม่มีใครเหมือน แม้การนำแผนที่โลกมาไว้บนหน้าปัดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การจัดวางอย่างมีระเบียบและใช้หน้าต่างขนาดเล็กเพื่อแสดงเวลาใน 6 เมืองหลักทั่วโลก ทำให้รุ่นนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง ซึ่งการที่หน้าต่างเวลาแต่ละบานสอดคล้องกับพิกัดทางภูมิศาสตร์และชื่อเมืองยังมีประโยชน์ในการใช้งานจริงอีกด้วย นอกจากนี้ รายละเอียดอย่างการทำพื้นผิวแผนที่โลกและเส้นแวงเส้นรุ้งที่ประณีต ก็สะท้อนถึงงานฝีมือในระดับที่สูงมากเช่นกัน

ในเชิงของกลไกและความซับซ้อน

รุ่นนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคนิคของ Moritz Grossmann ได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้กลไก Calibre 100.7 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อการแสดงเวลาในหลายไทม์โซนโดยเฉพาะ กลไกนี้ทำให้ผู้สวมใส่สามารถดูเวลาใน 6 เมืองพร้อมกันได้ในทันที และยังมีระบบการปรับเวลาที่ง่ายดายผ่านเม็ดมะยมและปุ่มกด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานจริงจะรู้สึกชื่นชม การที่กลไกได้รับการควบคุมอย่างพิถีพิถันและประกอบด้วยมือทั้งหมด ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องของความเที่ยงตรงและความทนทาน

แล้วน่าสะสมหรือไม่?

จากมุมมองผู้เขียน Universalzeit เป็นนาฬิกาที่น่าสะสมอย่างยิ่ง เพราะมาพร้อมความซับซ้อนของกลไก และยังเป็นเพราะมันคือการผสมผสานระหว่างงานศิลปะ (แผนที่โลกบนหน้าปัด) ฟังก์ชันการใช้งานที่ชาญฉลาด (การแสดงเวลาหลายโซน) และงานฝีมือในระดับสูงสุด (กลไกที่ทำด้วยมือ)

สำหรับนักสะสมที่มองหานาฬิกาที่มีเรื่องราว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสะท้อนถึงนวัตกรรมที่ไม่เหมือนใครของแบรนด์นี้ รุ่น Universalzeit ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นและเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาด

ในท้ายที่สุด Moritz Grossmann คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง กลับมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นและมีคุณค่าสำหรับผู้ที่มองหาความพิเศษที่แท้จริงในงานฝีมือของนาฬิกา ถ่ายทอดเรื่องราวของการอุทิศตนเพื่อความสมบูรณ์แบบที่มองเห็นได้จริงในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเส้นขัดเงาบนกลไกที่ประณีตจนขึ้นเงาราวกับกระจก เข็มนาฬิกาสีน้ำเงินเข้มที่ผ่านการเผาด้วยมือ หรือแม้แต่เสียงเดินของกลไกที่ฟังดูหนักแน่นและมั่นคง ซึ่งนั่นคือเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลในแบรนด์นี้อย่างไม่เสื่อมคลาย เพราะนาฬิกาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นงานศิลปะที่มีชีวิตและจิตวิญญาณ ที่รอให้ผู้ที่มองเห็นคุณค่าได้ค้นพบและสัมผัสด้วยตัวเอง

อ่านบทความน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติม
การเติบโตอย่างมีรากฐานของ Hermès Horloger: เมื่อการลงทุนคือการร้อยเรียงอดีตสู่ปัจจุบัน
Hublot Big Bang One Click Joyful: การกลับมาของสีสันที่สดใสในตำนาน
บทสัมภาษณ์พิเศษ | A Narrator through ‘Time’: ฌอห์ณ จินดาโชติ กับเรื่องราวเบื้องหลัง “เวลา” ที่เป็นมากกว่านาฬิกา

Share post:

More like this

นาฬิกา Grand Seiko ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

จากทะเลสาบซูวะถึงฟากฟ้ายามเที่ยงคืน Grand Seiko ถ่ายทอดความงดงามแห่งสายน้ำบนหน้าปัดทั้ง 4 รุ่น ที่สะท้อนแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและความประณีตของญี่ปุ่น

Louis Vuitton Tambour Convergence สไตล์วินเทจมินิมัลที่ดูร่วมสมัย พร้อมลีลาการบอกเวลาที่แตกต่าง

เมื่อ Louis Vuitton เล็งเห็นเสน่ห์ในเรือนเวลา Jump Hour และผสานเข้ากับตัวตนของเมซงได้อย่างลงตัว กลายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่นาฬิกา jump hour...

นาฬิกาหรูจะไปทางไหน? สรุปประเด็นร้อน เจาะลึกทุกมุมมองจาก FHH Watch Summit ครั้งแรกที่ New York

สรุปประเด็นร้อนจากการประชุม FHH Watch Summit ครั้งประวัติศาสตร์ที่ New York ผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 คนถกกันถึงอนาคตนาฬิกาหรู เมื่อคนรุ่นใหม่ (Millennial & Gen Z) ให้ความสำคัญกับ 'งานฝีมือ' เหนือชื่อแบรนด์ และทำให้ 'ตลาดมือสอง' กลายเป็นทางเข้าหลักของวงการ

รวมนาฬิกา tourbillon จากหลากแบรนด์ในปี 2025

สุดยอดกลไกที่เชื่อถือได้ในความเที่ยงตรงจากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำที่น่าจับตามองในปีนี้ ความเที่ยงตรงของนาฬิกาข้อมือที่เราใช้ในยุคปัจจุบันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลของแรงโน้มถ่วงเหมือนนาฬิกาพกในสมัยอดีต แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหลงใหลที่มีต่อคอมพลิเคชันที่เรียกว่า tourbillon ลดน้อยลงเลย ดูจากตัวอย่างผลงานที่แบรนด์ต่างๆ นำเสนอในปีนี้ นั่นเป็นเพราะทูร์บิญองได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นนาฬิกาชั้นสูง แถมยังเป็นเหมือนแคนวาสให้แบรนด์นาฬิกาชั้นนำต่างๆ ได้ประลองความคิดสร้างสรรค์ด้วย  ‘ทูร์บิญอง’...