ในโลกของเครื่องบอกเวลา ไม่ใช่ทุกยุคทุกสมัยจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการได้เท่ากับทศวรรษ 1920s
การเปลี่ยนแปลงของนาฬิกาข้อมือในยุค 1920s
ยุคที่ผู้คนเริ่มหันมาสวมนาฬิกาไว้บนข้อมือแทนที่จะเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ เป็นช่วงเวลาที่ “เวลา” ไม่ได้ถูกมองเพียงแค่ฟังก์ชัน ยังกลายเป็นแฟชั่น ความหรูหรา และตัวตน ท่ามกลางความพลิกผันของโลกหลังสงคราม การเติบโตของอุตสาหกรรม และการปฏิวัติด้านดีไซน์ นาฬิกาข้อมือจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือจับเวลาอีกต่อไป แต่มันคือเครื่องหมายแห่งยุค
อะไรทำให้ยุค 1920s กลายเป็นช่วงเวลาที่นิยามอนาคตของนาฬิกาข้อมือ? นี่คือเรื่องราวของจังหวะแห่งเวลา การออกแบบ และวิวัฒนาการ ที่ยังส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
การปรับตัวของแบรนด์นาฬิกาต่อกระแสแฟชั่นในช่วง Roaring Twenties
สำหรับผู้เขียนแล้ว ยุคที่นาฬิกาข้อมือได้รับความนิยมและเริ่มกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตผู้คน คือช่วงทศวรรษ 1920s หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ยุคทองแห่งแจ๊ส” หากมองในแง่ของวิถีชีวิตและความเปลี่ยนแปลงในสังคมในช่วงนั้น
หลายสิ่งที่เติบโตและกลายเป็นที่ยอมรับในยุคนั้นก็คือ รถยนต์ไม่ใช่แค่ของแปลกใหม่อีกต่อไป ศิลปะแบบอาร์ตเดโค ที่ยังคงเป็นสไตล์ที่สวยงามที่สุดในทุกๆ ด้าน ได้แทนที่อาร์ตนูโวที่ซับซ้อนกว่า แจ๊สกลายเป็นเสียงเพลงที่กำลังมาแรง ภาพยนตร์เสียงได้ถือกำเนิดขึ้น
รวมไปถึงการบันทึกเสียงด้วยไฟฟ้าทำให้การเล่นเพลงในยุคสมัยใหม่เป็นไปได้ กฎหมายการบินเชิงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาปี 1926 ได้วางรากฐานสำหรับการเดินทางทางอากาศเชิงพาณิชย์ และ Bugatti สร้างรถแข่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในด้านความสวยงามและประสบความสำเร็จ รุ่น Type 35B หากจะเล่าต่อไป มีอีกมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น

ในแง่ของวิวัฒนาการด้านนาฬิกา ช่วงทศวรรษนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของกระบวนการเปลี่ยนผ่านอันยาวนานที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1904 เมื่อ Cartier ผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกให้กับนักบิน Santos-Dumont ก่อนจะเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914–1918) ที่บรรดาทหารเริ่มผูกสายเข้ากับนาฬิกาพกขนาดเล็ก เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นบนสนามรบ จนกระทั่งในปี 1918 Cartier ได้เปิดตัวนาฬิการุ่น “Tank” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในดีไซน์คลาสสิกที่ทรงอิทธิพลที่สุดตลอดกาล
กระแสนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้หญิงก็เติบโตขึ้นพร้อมกับบรรยากาศแห่งการปลดปล่อยของยุคสมัย “แฟลปเปอร์” ซึ่งเปรียบได้กับนักเฟมินิสต์รุ่นบุกเบิก ต่างสวมใส่นาฬิกาเรือนเล็กของตนด้วยความมั่นใจและรสนิยมไม่แพ้เหล่า “อิทเกิร์ล” แห่งยุคนี้ที่จับคู่ลุคกับ Royal Oak, Rolex เรือนผู้ชาย หรือ Chanel J-12 อย่างคล่องแคล่ว

John Harwood ผู้บุกเบิกนาฬิกาอัตโนมัติที่เปลี่ยนแปลงวงการ
ในด้านเทคโนโลยี ช่วงเวลานี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ปฏิวัติโลกของนาฬิกาอย่างแท้จริง ต้องยกเครดิตให้กับช่างนาฬิกาชาวอังกฤษ John Harwood ผู้พัฒนานาฬิกาอัตโนมัติที่ใช้งานได้จริงเป็นครั้งแรกของโลก
ผลงานของเขาได้รับการจดสิทธิบัตรในปี 1924 และกลายเป็นรากฐานของกลไกแบบ “ออโตเมติก” ที่มีตุ้มเหวี่ยงซึ่งเรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ทุกเรือนที่ใช้ระบบนี้ล้วนสืบเชื้อสายมาจากการคิดค้นของ Harwood ทั้งสิ้น (อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลสำหรับนักประวัติศาสตร์ในอนาคต: Harwood มีความสำคัญในระดับเดียวกับ Breguet, Daniels และ Harrison และควรได้รับการยอมรับในฐานะนั้นด้วย)

และหากจะพูดถึง “เหตุการณ์สำคัญสูงสุด” ที่ทำให้นาฬิกาข้อมือได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงในยุค Roaring Twenties ล่ะก็ คำตอบนั้นไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากเลย เพราะมันคือช่วงเวลาที่แบรนด์นาฬิกาแทบจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เกิดขึ้นได้
นั่นคือการ “ใส่นาฬิกาโดยไม่มีสปอนเซอร์” หรือที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า organic product placement เมื่อคนดังระดับ A-list เลือกสวมนาฬิกาด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะถูกจ้าง หรือโปรโมตใดๆ เช่นเดียวกับที่ Steve McQueen เลือกใส่ Heuer Monaco ด้วยตัวเองในภายหลัง
สำหรับช่วงเวลานั้นในยุค 1920s จุดไคลแมกซ์ที่ถือว่าเป็น “Eureka โมเมนต์” คือวันที่ 9 กรกฎาคม ปี 1926 เมื่อภาพยนตร์ The Son of the Sheik เข้าฉายเป็นครั้งแรก และสิ่งที่อยู่บนข้อมือของพระเอกตลอดทั้งเรื่องก็คือนาฬิกาข้อมือ ไม่ใช่แค่เป็นพร็อพประกอบฉาก แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกตัวละครที่ผู้ชมทั่วโลกจดจำ
Valentino กับ Cartier Tank การใส่นาฬิกาในภาพยนตร์ที่กลายเป็นตำนาน
พระเอกของเรื่อง The Son of the Sheik ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก Rudolph Valentino ซูเปอร์สตาร์ระดับตำนานแห่งยุคหนังเงียบ ผู้มีอิทธิพลต่อแฟชั่น วัฒนธรรม และความหลงใหลในตัวบุคคลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในยุคนั้น
ถ้าจะให้นึกเทียบกับคนดังในยุคนี้ คงต้องบอกว่า “รัศมีของ Valentino ทำให้พลังดาราและเสน่ห์ของ Brad Pitt ดูเหมือนรุ่นน้องอย่าง Shia LaBeouf ไปเลยทีเดียว”
แล้วเขาทำอะไรให้นาฬิกาข้อมือเหรอ? ก็แค่สิ่งเล็ก ๆ ที่กลายเป็นความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์นาฬิกา Valentino ยืนกรานที่จะใส่ Cartier Tank เรือนโปรดของเขา ตลอดการถ่ายทำ โดยไม่มีใครสั่ง ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีพร็อพทีมเอามาให้ แต่เป็น “ตัวตน” ของเขาที่อยากใส่มันเอง และใส่มันทุกฉากแบบไม่ยอมถอด


หนึ่งปีหลังจากที่ The Son of the Sheik เข้าฉาย ก็เกิดอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่กลายเป็นตำนานของวงการนาฬิกา
ในปี 1927 Mercedes Gleitze นักว่ายน้ำหญิงชาวอังกฤษได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษ โดยสวมใส่ Rolex Oyster ติดข้อมือตลอดการเดินทางท้าทายน้ำเย็นและกระแสน้ำเชี่ยว นาฬิกาไม่เพียงแต่อึด ถึก และทน มันยัง “รอด” มาได้พร้อมชื่อเสียงระดับพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของตำนาน Rolex บนเวทีโลก
พูดได้เต็มปากเลยว่า… ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในยุค Roaring Twenties มันเปลี่ยนเกม และยกระดับนาฬิกาข้อมือจากเครื่องมือธรรมดา ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสไตล์ ความแม่นยำ และบุคลิกภาพ เรื่องนี้จบตรงนี้ล่ะ ไม่มีอะไรต้องแถลงเพิ่มแล้ว



เรื่องนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2020
ในที่สุด เราก็เห็นได้ว่าทศวรรษ 1920s ไม่เพียงแค่เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ยังเป็นช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ของนาฬิกาข้อมือได้ถูกปั้นขึ้นใหม่ นาฬิกาไม่ใช่เพียงเครื่องมือบอกเวลาอีกต่อไป แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสไตล์ ความทนทาน และความแม่นยำที่ยืนยงตลอดกาล
จากการเกิดขึ้นของ Cartier Tank, Rolex Oyster ไปจนถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ช่วยปูทางให้กับอุตสาหกรรมนาฬิกา วันนี้การสวมใส่นาฬิกาข้อมือกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันอย่างไม่ต้องสงสัย
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกเรือนเวลาสุดล้ำได้ที่ Revolution Thailand แหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับนักสะสมนาฬิกาตัวจริง
ภาพ | ที่มา: Revolutionwatch

