ย้อนยุค 1920s ทศวรรษทองคำ ที่เขย่าวงการนาฬิกาข้อมือ

Date:

ในโลกของเครื่องบอกเวลา ไม่ใช่ทุกยุคทุกสมัยจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการได้เท่ากับทศวรรษ 1920s

การเปลี่ยนแปลงของนาฬิกาข้อมือในยุค 1920s

ยุคที่ผู้คนเริ่มหันมาสวมนาฬิกาไว้บนข้อมือแทนที่จะเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ เป็นช่วงเวลาที่ “เวลา” ไม่ได้ถูกมองเพียงแค่ฟังก์ชัน ยังกลายเป็นแฟชั่น ความหรูหรา และตัวตน ท่ามกลางความพลิกผันของโลกหลังสงคราม การเติบโตของอุตสาหกรรม และการปฏิวัติด้านดีไซน์ นาฬิกาข้อมือจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือจับเวลาอีกต่อไป แต่มันคือเครื่องหมายแห่งยุค

อะไรทำให้ยุค 1920s กลายเป็นช่วงเวลาที่นิยามอนาคตของนาฬิกาข้อมือ? นี่คือเรื่องราวของจังหวะแห่งเวลา การออกแบบ และวิวัฒนาการ ที่ยังส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน

การปรับตัวของแบรนด์นาฬิกาต่อกระแสแฟชั่นในช่วง Roaring Twenties

สำหรับผู้เขียนแล้ว ยุคที่นาฬิกาข้อมือได้รับความนิยมและเริ่มกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตผู้คน คือช่วงทศวรรษ 1920s หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ยุคทองแห่งแจ๊ส” หากมองในแง่ของวิถีชีวิตและความเปลี่ยนแปลงในสังคมในช่วงนั้น

หลายสิ่งที่เติบโตและกลายเป็นที่ยอมรับในยุคนั้นก็คือ รถยนต์ไม่ใช่แค่ของแปลกใหม่อีกต่อไป ศิลปะแบบอาร์ตเดโค ที่ยังคงเป็นสไตล์ที่สวยงามที่สุดในทุกๆ ด้าน ได้แทนที่อาร์ตนูโวที่ซับซ้อนกว่า แจ๊สกลายเป็นเสียงเพลงที่กำลังมาแรง ภาพยนตร์เสียงได้ถือกำเนิดขึ้น

รวมไปถึงการบันทึกเสียงด้วยไฟฟ้าทำให้การเล่นเพลงในยุคสมัยใหม่เป็นไปได้ กฎหมายการบินเชิงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาปี 1926 ได้วางรากฐานสำหรับการเดินทางทางอากาศเชิงพาณิชย์ และ Bugatti สร้างรถแข่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในด้านความสวยงามและประสบความสำเร็จ รุ่น Type 35B หากจะเล่าต่อไป มีอีกมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น

1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
William Grover-Williams คว้าชัยใน Monaco Grand Prix ครั้งแรกในปี 1929 ด้วยการขับ Bugatti 35B ที่สมบูรณ์แบบ (ภาพ: classicargarage.com)

ในแง่ของวิวัฒนาการด้านนาฬิกา ช่วงทศวรรษนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของกระบวนการเปลี่ยนผ่านอันยาวนานที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1904 เมื่อ Cartier ผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกให้กับนักบิน Santos-Dumont ก่อนจะเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914–1918) ที่บรรดาทหารเริ่มผูกสายเข้ากับนาฬิกาพกขนาดเล็ก เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นบนสนามรบ จนกระทั่งในปี 1918 Cartier ได้เปิดตัวนาฬิการุ่น “Tank” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในดีไซน์คลาสสิกที่ทรงอิทธิพลที่สุดตลอดกาล

กระแสนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้หญิงก็เติบโตขึ้นพร้อมกับบรรยากาศแห่งการปลดปล่อยของยุคสมัย “แฟลปเปอร์” ซึ่งเปรียบได้กับนักเฟมินิสต์รุ่นบุกเบิก ต่างสวมใส่นาฬิกาเรือนเล็กของตนด้วยความมั่นใจและรสนิยมไม่แพ้เหล่า “อิทเกิร์ล” แห่งยุคนี้ที่จับคู่ลุคกับ Royal Oak, Rolex เรือนผู้ชาย หรือ Chanel J-12 อย่างคล่องแคล่ว

1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
เหล่า “แฟลปเปอร์” แห่งยุค 1920s สัญลักษณ์ของความกล้าท้าทายกรอบสังคม ผู้หญิงรุ่นใหม่ที่เลือกเป็นตัวของตัวเองทั้งในแฟชั่น ทัศนคติ และไลฟ์สไตล์

John Harwood ผู้บุกเบิกนาฬิกาอัตโนมัติที่เปลี่ยนแปลงวงการ

ในด้านเทคโนโลยี ช่วงเวลานี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ปฏิวัติโลกของนาฬิกาอย่างแท้จริง ต้องยกเครดิตให้กับช่างนาฬิกาชาวอังกฤษ John Harwood ผู้พัฒนานาฬิกาอัตโนมัติที่ใช้งานได้จริงเป็นครั้งแรกของโลก

ผลงานของเขาได้รับการจดสิทธิบัตรในปี 1924 และกลายเป็นรากฐานของกลไกแบบ “ออโตเมติก” ที่มีตุ้มเหวี่ยงซึ่งเรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ทุกเรือนที่ใช้ระบบนี้ล้วนสืบเชื้อสายมาจากการคิดค้นของ Harwood ทั้งสิ้น (อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลสำหรับนักประวัติศาสตร์ในอนาคต: Harwood มีความสำคัญในระดับเดียวกับ Breguet, Daniels และ Harrison และควรได้รับการยอมรับในฐานะนั้นด้วย)

1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
ต้นแบบของนาฬิกาอัตโนมัติเรือนแรกของโลกโดย John Harwood จุดเริ่มต้นของกลไกแบบตุ้มเหวี่ยงที่ยังคงเป็นหัวใจของนาฬิกาออโต้ทุกเรือนจนถึงปัจจุบัน

และหากจะพูดถึง “เหตุการณ์สำคัญสูงสุด” ที่ทำให้นาฬิกาข้อมือได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงในยุค Roaring Twenties ล่ะก็ คำตอบนั้นไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากเลย เพราะมันคือช่วงเวลาที่แบรนด์นาฬิกาแทบจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เกิดขึ้นได้

นั่นคือการ “ใส่นาฬิกาโดยไม่มีสปอนเซอร์” หรือที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า organic product placement เมื่อคนดังระดับ A-list เลือกสวมนาฬิกาด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะถูกจ้าง หรือโปรโมตใดๆ เช่นเดียวกับที่ Steve McQueen เลือกใส่ Heuer Monaco ด้วยตัวเองในภายหลัง

สำหรับช่วงเวลานั้นในยุค 1920s จุดไคลแมกซ์ที่ถือว่าเป็น “Eureka โมเมนต์” คือวันที่ 9 กรกฎาคม ปี 1926 เมื่อภาพยนตร์ The Son of the Sheik เข้าฉายเป็นครั้งแรก และสิ่งที่อยู่บนข้อมือของพระเอกตลอดทั้งเรื่องก็คือนาฬิกาข้อมือ ไม่ใช่แค่เป็นพร็อพประกอบฉาก แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกตัวละครที่ผู้ชมทั่วโลกจดจำ

Valentino กับ Cartier Tank การใส่นาฬิกาในภาพยนตร์ที่กลายเป็นตำนาน

พระเอกของเรื่อง The Son of the Sheik ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก Rudolph Valentino ซูเปอร์สตาร์ระดับตำนานแห่งยุคหนังเงียบ ผู้มีอิทธิพลต่อแฟชั่น วัฒนธรรม และความหลงใหลในตัวบุคคลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในยุคนั้น

ถ้าจะให้นึกเทียบกับคนดังในยุคนี้ คงต้องบอกว่า “รัศมีของ Valentino ทำให้พลังดาราและเสน่ห์ของ Brad Pitt ดูเหมือนรุ่นน้องอย่าง Shia LaBeouf ไปเลยทีเดียว”

แล้วเขาทำอะไรให้นาฬิกาข้อมือเหรอ? ก็แค่สิ่งเล็ก ๆ ที่กลายเป็นความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์นาฬิกา Valentino ยืนกรานที่จะใส่ Cartier Tank เรือนโปรดของเขา ตลอดการถ่ายทำ โดยไม่มีใครสั่ง ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีพร็อพทีมเอามาให้ แต่เป็น “ตัวตน” ของเขาที่อยากใส่มันเอง และใส่มันทุกฉากแบบไม่ยอมถอด

1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
Vilma Banky และ Rudolph Valentino ในภาพยนตร์ The Son of the Sheik (1926) ว่ากันว่า Valentino ยืนกรานใส่ Cartier Tank เรือนโปรดของเขาในทุกฉาก แม้ว่าในยุคที่หนังเล่าเรื่องนั้น นาฬิการุ่นนี้จะยังไม่ถือกำเนิดก็ตาม
1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
Rudolph Valentino ในชุดคอสตูมจากภาพยนตร์ The Son of the Sheik (1926) สัญลักษณ์แห่งเสน่ห์ ความคลาสสิก และอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ทำให้นาฬิกาข้อมือกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์ชายในอุดมคติยุคนั้น

หนึ่งปีหลังจากที่ The Son of the Sheik เข้าฉาย ก็เกิดอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่กลายเป็นตำนานของวงการนาฬิกา

ในปี 1927 Mercedes Gleitze นักว่ายน้ำหญิงชาวอังกฤษได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษ โดยสวมใส่ Rolex Oyster ติดข้อมือตลอดการเดินทางท้าทายน้ำเย็นและกระแสน้ำเชี่ยว นาฬิกาไม่เพียงแต่อึด ถึก และทน มันยัง “รอด” มาได้พร้อมชื่อเสียงระดับพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของตำนาน Rolex บนเวทีโลก

พูดได้เต็มปากเลยว่า… ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในยุค Roaring Twenties มันเปลี่ยนเกม และยกระดับนาฬิกาข้อมือจากเครื่องมือธรรมดา ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสไตล์ ความแม่นยำ และบุคลิกภาพ เรื่องนี้จบตรงนี้ล่ะ ไม่มีอะไรต้องแถลงเพิ่มแล้ว

1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
ในปี 1927 นาฬิกา Rolex Oyster ข้ามช่องแคบอังกฤษไปพร้อมกับ Mercedes Gleitze นักว่ายน้ำสาวชาวอังกฤษ การว่ายน้ำกินเวลานานกว่า 10 ชั่วโมง แต่นาฬิกาก็ยังทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบจนถึงฝั่ง
1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
เพื่อเฉลิมฉลองการข้ามช่องแคบอังกฤษ Rolex ได้ลงโฆษณาขนาดเต็มหน้าหนึ่งใน Daily Mail ประกาศความสำเร็จของนาฬิกากันน้ำเรือนนี้ นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด ‘Testimonee’ (จาก Daily Mail, 1927)
1920s Turning Point in Wristwatch Evolution
นาฬิกา Rolex Oyster ของ Mercedes Gleitze (ภาพ: rolexmagazine.com)

เรื่องนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2020

ในที่สุด เราก็เห็นได้ว่าทศวรรษ 1920s ไม่เพียงแค่เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ยังเป็นช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ของนาฬิกาข้อมือได้ถูกปั้นขึ้นใหม่ นาฬิกาไม่ใช่เพียงเครื่องมือบอกเวลาอีกต่อไป แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสไตล์ ความทนทาน และความแม่นยำที่ยืนยงตลอดกาล

จากการเกิดขึ้นของ Cartier Tank, Rolex Oyster ไปจนถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ช่วยปูทางให้กับอุตสาหกรรมนาฬิกา วันนี้การสวมใส่นาฬิกาข้อมือกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันอย่างไม่ต้องสงสัย

ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกเรือนเวลาสุดล้ำได้ที่ Revolution Thailand แหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับนักสะสมนาฬิกาตัวจริง

ภาพ | ที่มา: Revolutionwatch

Share post:

More like this

World Watch Day: 10 ตุลาคม 2025 วันที่โลกผนึกรวมใต้เงาเข็มนาฬิกา 10:10

World Watch Day ครั้งแรก (10 ต.ค. 2025) ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น พิสูจน์พลังแนวคิดที่เป็นสากล ด้วยยอดเข้าถึงกว่า 6 ล้านคน เตรียมสานต่อความร่วมมือระดับโลกในปี 2026

Man of the Hour : ถอดรหัสมนต์เสน่ห์เหนือกาลเวลา ผ่านสารคดี 8 ตอนที่เปิดเผยชีวิต จิตวิญญาณ และมรดกของสุดยอดช่างนาฬิกาโลก

พบกับเบื้องหลังที่ไม่เคยเปิดเผยของ F.P.Journe, Chopard, และ MB&F ซีรีส์ 'Man of the Hour' ให้คุณเข้าถึงช่างนาฬิกามาสเตอร์ที่กำลังกำหนดอนาคตของวงการ เตรียมตัวสำรวจโลกของ Horology ที่เต็มไปด้วยความแม่นยำ ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณ พฤศจิกายนนี้!

เจาะลึกแก่นแท้ของ ‘Quiet Luxury’ ผ่านเรือนเวลา Laurent Ferrier

พร้อมเปิดมุมมองของนักสะสมผู้ได้สัมผัสแนวคิด Quiet Luxury บนเวทีเสวนา The Irresistible Charm of Laurent...

Wrist Check: ส่องนาฬิกานักแข่ง F1 ปลุกเร้าจิตวิญญาณแห่งความเร็วที่ Marina Bay

ส่อง Wrist Check สุดพิเศษ: เจาะลึกนาฬิกา Richard Mille, IWC, TAG Heuer และ H. Moser & Cie. คู่ใจของนักแข่ง F1 ตัวจริงที่ Marina Bay Street Circuit